.......โรงเรียนสังวาลย์วิทยา นั้น เป็นโรงเรียนหนึ่งที่มีการเติบโต ทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรม รูปธรรมที่เห็นชัดที่สุด คือสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งในวันนี้ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด เติมเต็มตามลานใหญ่และซอกตรอกว่างของพื้นที่ในโรงเรียน จนลานตาไปหมด
.........ด้านนามธรรมนั้น ที่ชัดที่สุดเห็นจะเป็น การทบทวนประวัติศาสตร์ ของโรงเรียนและค้นอดีตออกมา ปัดฝุ่น เพื่อสร้าง ความตระหนัก แก่ ครู นักเรียน และชุมชน ในการเป็น เชื้อ นำสู่ การพัฒนา นับเป็นกลยุทธ์ที่ คมคายและแยบยล ประกอบกับ ความเก๋า ในชั้นเชิงการบริหาร เช่น การประสานสิบทิศ จึงทำให้ในวันนี้ โรงเรียนมี ทุนคน ทุนเงิน สำหรับการพัฒนาในระดับหนึ่ง ซึ่งหาก รอการอุดหนุนจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว นั้น โรงเรียนคง ทรง กับ ทรุด หรืออาจจะเดินมาไม่ได้ เท่าทุกวันนี้ ตรงนี้น่าจะเป็นแบบอย่างที่ดี (best practice ) สำหรับผู้มาเยือน เยี่ยงผมและทีมงาน
........นอกจากนั้น ประเด็นหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การทำงานสนอง นโยบาย หรือ กระแส จาก หน่วยเหนือ ทำให้โรงเรียน ไม่หลงทิศ และ ติดชาร์ต อยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้ง ในบางเรื่อง อาจจะรู้สึกขัดหรือฝืน กับความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่คิดมาก และกล้าเลือกที่จะมองในแง่ดี ของ นโยบาย หรือ กระแส เหล่านั้น ก็จะทำให้ค้นพบ สิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่ ยกตัวอย่างเช่น โรงเรียนดีใกล้บ้าน หรือ โรงเรียนในฝันนั้น หลายคน ยึด ติดรูปแบบ ทำให้ม่านหมอกแห่งความไม่รู้ ไม่เข้าใจ มันพันพัว จนจ่อมจม มองไม่เห็นทางออก ต่อต้าน และไม่ยอมรับ แต่ถ้าหากก้าวข้าม และเติมเต็มรูปแบบ นั้น ให้เหมาะสมสอดคล้องกับ ความเป็น เรา มันก็จะช่วยให้เรา ได้เรียนรู้ เพิ่มขึ้น เช่น ได้เห็นว่า โรงเรียนในฝันนั้น คนต้นเรื่องคือครู ซึ่งพยายามนำเสนอสิ่งที่ได้ ถ่ายทอด สืบสาน บอกสอน ฝึกปรือ ลูกศิษย์ ผ่าน ลานบูรณาการ ทุกกลุ่มสาระ โดยสอนให้เด็กตัวน้อยๆเป็น ครูของตนและคนอื่น ได้ คนเล่นและเดินเรื่องจริงๆ คือเด็กน้อย นี่จึงเป็นแก่น ของโรงเรียนในฝัน ส่วนขั้นตอน รูปแบบ วิธีการต่างๆ นั้น เป็นเพียงแค่เปลือก เมื่อเห็นหรือเข้าใจ เช่นนี้ และไม่ติดรูปแบบแล้ว ก็จะรู้ได้ว่า โรงเรียนในฝัน นั้น ไม่ได้เกินเลยที่ความจริงจะไปถึง แต่ก็ไม่ง่ายนัก ที่จะเกิดขึ้นได้บนความอ่อนแอและไม่จริงจัง ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาทำได้ ซึ่ง หากขาด การกล้าที่จะมองแง่บวก ของ นโยบาย แล้ว ก็อาจไม่ได้เห็นกิจกรรมดีๆ ต่างๆ เหล่านั้น.......
..........โรงเรียนอีกแห่งหนึ่งที่ได้ไปเยือน คือโรงเรียนบ้านแม่ออก ตั้งอยู่บนดอยสูง และสูง สูงจนคิดว่า เขาจะดื่มน้ำจากที่ใดหนอ .....ถนนหนทางโค้งคด โอบรัดขุนเขา แล้วไต่เลื้อยบนหลังภู ลูกแล้วลูกเล่า ขบวนรถปิ๊กอัพของพวกเรา 4-5 คัน แล่นล้อไล่หลังกันเป็นระยะ ผงฝุ่นหิมะแดง คละคลุ้งดงดอยเป็นทางยาว จนถึงดอยที่สูงที่สุด ชาวบ้านเรียกว่า พุ่ยโค่ หรือ ดอยปุย ซึ่งวิวทิวทัศน์บนยอดดอยและตลอดสองข้างทางสวยงามมาก จากนั้นคณะเรา ก็ค่อยๆ คลานรถ ต่ำลงๆ วกลง ๆ สาละวน รอบก้นหอยแห่งหุบเขา และแล้วก็ถึงโรงเรียน ......โรงเรียน..... ในหุบเขา ....โรงเรียนบ้านแม่ออก
........โอ๊ย ยากมากๆ ......นี่เดือนกุมภา นะครับ ถ้าเดือน กรกฎา สิงหา พี่น้องเราจะเดินทางยากลำบากเพียงใด ไม่อยากคิด ที่รู้ได้คือ เห็นใจและเข้าใจ......นั่นเป็นทางเดิน ที่ยากลำบาก กันดาร แต่อย่างไรก็ตาม ความกันดารก็ได้ทำหน้าที่ครูที่สอนสิ่งดีๆ กับ ผม อย่างน้อย สามประการ ดังนี้
............ประการที่สอง คือ ความเป็นพี่เป็นน้องและรักใคร่กลมเกลียวกันของทีมงาน คำพูดนึง ที่ได้ฟังแล้วชื่นใจมิหายและชดเชยความเมื่อยล้าจากการเดินทางได้ คือคำว่า พวกเรารอครูโอ๋(สิทธิพงษ์) อยู่ ซึ่งเอ่ยออกจากปากของเพื่อนร่วมงานที่ใสซื่อและไร้มายาเจือปน ช่างเป็นคำยืนยันที่บ่งบอกว่า ที่นี่มีความหมายสำหรับเขาและเขาก็มีความหมายสำหรับที่นี่ เช่นกัน
.............ประการที่สาม คือ จิตวิญญาณของความเป็นครู ดูจากสภาพโครงสร้างพื้นฐาน อาคารสถานที่ ครูทุกคนที่นี่ ทั้งในอดีตที่ผ่านมา และปัจจุบัน ได้ช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับที่แห่งนี้ มิใช่มาเพื่อจากไป โดยไม่ทิ้งเยื่อใย ไว้กับข้างหลัง ตรงนี้สำคัญมาก เพราะครูดอยเรานั้น เมื่อถึงเวลาก็ย้ายและส่งไม้ให้เพื่อนคนต่อไป รับช่วงต่อ หากมีไม้ใดไม้หนึ่ง ไม่รู้หน้าที่ หลงทาง ชักช้า เมินเฉย หรือขาดวิญญาณของความเป็นครู ก็จะทำให้การเดินทาง ถึงเป้าหมายช้าลง กว่าที่ควรจะเป็น หรือหลงป่า ตกดอยไปเลยก็เป็นได้ ....ครูที่นี่ ได้แสดงให้เห็นว่า แม้ถนนหนทางยากลำบาก ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน แต่ไม่เคย ขาดแคลนความเป็นครู ที่จะอุ้มชูลูกศิษย์ให้ถึงฝั่งฝัน เรื่องนี้เรื่องใหญ่และสำคัญ ผมเชื่อเช่นนั้น....
.......เดินทางไกล สุดไกล แสนไกล ป่ายปีน สู่ยอดพุ่ยโค่สูง
........ทางยาก ลำบาก กันดาร มาด้วยเท้า ม้า รถ หรือ ยนต์ยาน ใด จักหาถึงไม่
.......ทางยากเยี่ยงนี้ ลำบากเยี่ยงนี้ กันดารเยี่ยงนี้
........ถ้าไม่มาด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นครู
.........ถ้าไม่มาด้วย ใจ ที่กล้า-แกร่ง-เต็ม -เปี่ยมด้วยพลังเยี่ยงนี้แล้ว .....ยากนักหนอ....จักมาถึง
........ครับ นั่น คือบทเรียน ที่ได้เรียนรู้จากการเดินทางไปเยือนถิ่นสถานต่างๆ ผมและทีมงาน เหนื่อยล้ากับสังขาร และความกันดารไกล แต่ก็สุขใจ จริงๆ ครับ
.........ขอบพระคุณเจ้าของบ้าน มิตรผู้พานพบ และเพื่อนพ้อง น้องพี่ที่ร่วมเดินทาง ด้วยใจด้วยกัน บทเรียนเหล่านี้ ไม่ใช่การเดินทาง ตาม นโยบาย หรือ กระแส ที่คิดจะทำก็ทำ หากแต่คือความงดงามของ การเติมเต็มรูปแบบให้สอดคล้องกับเรา กล้าที่จะเลือกสิ่งที่ดีๆ และกล้าที่จะใช้ ใจ เดินแทน เท้า
.............ขอบคุณ ดอกสะแบงที่แต้มแต่ง ผืนป่า คราร้อนแล้ง ให้มีสีสัน สดใส และงดงาม ขอบคุณมิตรภาพและสิ่งจรุงจิตของ รอยเท้าที่ใจเดิน ขอบคุณดอยสูง ลูกนั้น ที่แบ่งปันความงดงามและน้ำใจ ให้แก่กันและกัน
พิณ คืนเพ็ญ