......เมื่อประมาณ ปลายปี 47 ฟ้าค่ำของวันหนึ่ง ขณะผมเดินหาซื้อข้าวของในกาดต้นพยอม ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่ามกลางความวุ่นวายของเมือง ยามราตรี รถราแออัดยัดแน่น จอดติดยาวตรงแยกไฟแดงหลังมอจนถึงร้านข้าวต้มแยกหอศิลป์ ซึ่งเป็นภาพที่เห็นจนชินตาและกลายเป็นปกติวิสัย ที่เห็นได้ทุกย่ำเย็น เสียงผู้คนจอแจ ตามร้านย่านกาดแถวนั้น ต่างจับจ่ายซื้อขายข้าวของกันม่วนงัน ควันไฟปิ้งย่างลอยโขมงคละคลุ้งควันรถ มืดมุงทางเท้า ทันใดนั้น หูก็พลันได้ยินเสียงไวโอลิน ลอยผ่านม่านหมอกเทาขาวเข้ากระทบต่อมคีตศิลป์อย่างร้าวลึกและเจ็บปวด ผมย่างกายมุ่งหน้า เข้าหาต้นเสียงทันที....
......ช่างเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะ เยือกเย็น โหยหวน เสียดแทงและร้าวล่วงลึก ถึงห้วงมโนในในยิ่งนัก ชายวัยกลางคน ตัวผอม คือเจ้าของความไพเราะ เอาแก้มแนบไวโอลินตัวแปลกของเขา มือขวาดึงโยกคันชักลากเลื้อยเล่นเสียงตามจังหวะเมโลดี้ เอนตัวพลิ้ว ระริกไหวรับจังหวะทำนองอย่างนวลนุ่มและงดงาม พอเข้าไปใกล้ ๆ จึงรู้ว่า ไวโอลินที่เขาเล่นอยู่นั้น จริงๆแล้ว คือไม้ไผ่ลำเขื่องดีๆนี่เอง ซึ่งเขาประยุกต์ทำเป็นเครื่องดนตรีสีเสียงใสเพราะพริ้ง แก่ผู้พบเห็น และนับเป็นเกียรติแก่การได้ยินและพบพานของผมยิ่งนัก พอเขาเล่นไปสัก4-5 เพลง ก็ปิดท้ายคันชักช่วงแรกด้วยเพลง....."ท่าฉลอมกับมหาชัย อย่านึกกันเลยว่า ไกล...เชื่อมความรักไว้ดีกว่า...." ผมจึงได้มีโอกาสสนทนากับเขา และมารู้อีกทีเมื่อเขาดึงผ้าพันคอออกว่า บริเวณคอนั้นไม่มีลูกกระเดือก มองเห็นเนื้อแดงๆ ทะลุเป็นรูโบ๋เข้าไปในลำคอ กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะพูดและหายใจเขาพิการขาทั้งสองข้าง อาศัยรถเข็นเป็นพาหนะเดินทาง
....."มะเร็งกล่องเสียง" ....คือเหตุผลของความพิการ...เขาบอก
เวลาที่เขาพูดนั้นเสียงจะไม่ชัด เพราะเสียงพูดถูกบีบออกตรงช่องโบ๋ในลำคอตลอดเวลา ลำบากมากในการสนทนากับใครสักคนให้เข้าใจ เยี่ยงคนปกติทั่วๆไป แต่นับว่ามีความอุตสาหะเป็นเลิศ ที่ต่อสู้เอาชนะข้อจำกัดที่บีบรัดตนเองพ้น จนสามารถสร้างสรรค์งานศิลป์ได้น่าทึ่งยิ่งนัก ซึ่งสภาพร่างกายเช่นนี้แล้ว ยิ่งต้องเหนื่อยและพยายามมากกว่าคนปกติเป็นหลายเท่าแน่
......"ฝึกฝนและทำการบ้าน" ....คือถ้อยคำที่บอกบ่งถึงความเพียรพยายาม
....."งานทุกอย่าง ต้องทำการบ้าน" เขาตอกย้ำวิธีคิดของเขา
ผมสังเกตตลอดเวลาที่เขาสีเส้นเสียง ผู้คนที่ผ่านไปมาได้ยินได้เห็นแล้วต่างพากันให้ทริปวางลงบนหมวกเก่าๆใบนั้นของเขา ประมาณด้วยตา สี่ร้อยกว่าน่าจะมี ..............
.....วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการติว*เพื่อสอบคัดเลือกบุคคลทั่วไปเป็นข้าราชการครู ของทีมงานเรา จากประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสคลุกคลีเกี่ยวกับการติว ทำให้เกิดการเรียนรู้หลายๆอย่าง เป็นต้นว่า ต้องทุ่มเท แรงกาย แรงใจ อย่างสุดๆ เพื่อเตรียมตัว เตรียมเอกสาร วิธีนำเสนอ เทคนิคการจำ การสร้างความเข้าใจ ฯลฯ ให้กับผู้เข้าติว ทั้งนี้ เพื่อส่งฝันของคนเหล่านั้นให้เป็นจริง แต่เป็นที่น่าแปลกว่าคนส่วนใหญ่เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้เข้าติวนั้น ยังไม่มีความพร้อมและการเตรียมตัวที่ดีพอ ส่วน 10 เปอร์เซนต์ กลับมาติวตามแฟชั่นหรือคำชักชวนของเพื่อน ที่เหลือสัก 10 เปอร์เซนต์ เป็นคนกลุ่มน้อยจริงๆ ที่มุ่งเอาการเอางาน
...บ่อยครั้งหลังเลิกงาน ผมมักถามตนเองเสมอว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับคนส่วนใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้ เหตุใดเขาเย็นชาต่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ ที่จะเลี้ยงตนได้ตลอดเช่นนี้ หรือว่าเพดานความตื่นตัวของผู้คนสมัยนี้ ลดต่ำลงราวเอวอ้วนๆของเขาเสียแล้ว หรือการหางานที่ตนรัก ที่ตนชอบ มันไม่ได้ยากเย็นเอ็นปูดอย่างวันวานหรอกกระนั้นฤา ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อน อย่าว่าแต่สอบบรรจุเป็นข้าราชการเลย เอาแค่สอบปลายภาค หลายๆคนที่ผมรู้จัก เช่นพรรคพวกเพื่อนฝูงก็อ่านหนังสือกันหัวฟูแล้ว นี่จะสอบเพื่อฝากชีวิต หน้าที่การงานของตน ในอนาคตแท้ๆ หลายต่อหลายคนยังนิ่งนอนใจ เฉื่อย ไม่กระตือรือร้น เอาเสียเลย มิหนำซ้ำ ที่เลวร้ายกว่านั้น บางรายถึงกับยื่นเงื่อนไขพิเศษ ทำราวกับว่าผู้ติวและคณะ จะสามารถสนองความต้องการด่างๆเทาๆ เหล่านั้นได้ โอ....หนอ.....มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องฝึกปรือหรือออกแรงดอก..........น้องเอ๋ย
...นานนับชั่วโมงแล้ว ที่ยามเย็นของกาดค่ำวันนี้ มีความหมาย และเพราะพริ้งด้วยจังหวะอันอ่อนหวาน ของทำนองเพลง และผสานลีลาอันอ่อนโยนของผู้เล่นผ่านเส้นเสียงลำไม้ไผ่...ทำให้ผู้พานพบเช่นผมอิ่มเอมในอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก การสนทนาของเรา ได้บทสรุปที่ตรึงตราในใจเท่าทุกวันนี้...... เจ้าของเสียงศิลป์บอกว่า
.....คนที่ประสพความสำเร็จนั้น ไม่ต้องคิดมาก อยากทำโน่นอยากทำนี่ แล้วไม่ดีสักอย่าง ....จงเลือกทำอะไรสักอย่าง แต่...ต้องทำให้มันดี การทำให้มันดี มาจากการเข้มงวด เขี่ยวเข็ญ ฝึกฝน กับการบ้านของตนเอง.....ผมเล่นดนตรี ผมก็ต้องทำการบ้าน... คุณเรียนหนังสือ คุณก็ต้องทำการบ้าน แม่ค้าในกาดก็ต้องทำการบ้าน...
...ครับ คนที่ประสพความสำเร็จได้นั้น จะต้องเข้มงวด เขี่ยวเข็ญ ฝึกฝน จริงจังกับการบ้านของตนเอง ...ภาระงานและหน้าที่ของแต่ละคนอาจผ่านเข้ามา มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกัน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือเราได้เต็มที่ กับการทำการบ้านเหล่านั้น ด้วยความวิริยะ อุตสาหะแล้วหรือยัง....จะมัวฝากความสำเร็จไว้กับความหวังด่างๆเทาๆ เลื่อนลอยเช่นนั้นหรอกหรือ...ตัวเราเองเท่านั้นที่มีคำตอบ ตัวเราเท่านั้นที่สามารถทำการบ้านชีวิตของตนเองได้.....
*การทบทวนเพื่อเตรียมความพร้อมให้น้องๆในการสอบบรรจุเป็นครู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น