ขุนเขายะเยือก
บทกวีของผู้สันโดษ ฮั่นชาน... ยากยิ่งแลที่คนจักเข้าถึง พจนา จันทรสันติ ถอดความได้อย่างงดงามและอ่อนหวาน...พยายามจะนำมาฝากทุกท่านที่ผ่านทางมาพบเจอ เพื่อจะได้ปลดเปลื้องตัวตนจากพันธนาการทั้งมวล...บางครั้งปล่อยให้ลมไหว ใบไม้ติง อิงออดกิ่งก้าน ต้านหมอกลมหนาวอย่างเสรีจะเป็นทางหนึ่งที่พบพานความสุขนุ่มลึกจากห้วงในในได้... เชิญครับ
๑.บิดามารดา ทิ้งมรดกไว้ให้
มากพอที่ข้าพเจ้าไม่ต้องอิจฉาผืนนาของใคร
กึกกัก กึกกัก เสียงภรรยาทอผ้า
เจี้ยวจ้าว เจี้ยวจ้าว เสียงลูกๆเล่น
ข้าพเจ้า ปรบมือ เร่งเร้า กลีบบุปผา ไหว
ดีดพิณ ฟังเสียงเพลงจากหมู่วิหค
ใครเล่าจะเห็นคุณค่าของวิถิชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้
ณ ที่นี้ เพียงมีคนตัดฟืนผ่านมาในบางครั้ง....
๒.กระท่อมฟางหญ้า คือ ที่พักพิง ของ คนป่าคนดอย
เปลี่ยวร้าง ห่างไกล จนยากที่จะพบเกวียน และ ม้าผ่านมา
แนวไพรสงบเงียบ ฝูงนกต่างมาสร้างรวงรัง
ลำธารกว้าง อุดมไปด้วย ฝูงปลา
ข้าพเจ้า ไปเก็บ ลูกไม้ป่า กับลูกๆ
ไปพรวนดิน ในผืนนา กับ ภรรยา
และในกระท่อม จะมีสมบัติสิ่งใด
มีเพียง กองหนังสือ กองสุมบนเตียง .............
๓.พอถึงเดือนสาม
เมื่อหนอนไหมยังเป็นตัวอ่อน
หมู่หญิงสาว พากันมาเก็บบุปผา เอนอิงพิงกำแพง
พวกเธอหยอกล้อกับผีเสื้อ
เริงเล่นไปตามริมฝั่งน้ำ ขว้างปากบด้วยกรวดหิน
พากันเก็บ ลูกบ๊วย ใส่เต็ม แขนเสื้อ
ใช้ ปิ่นทอง ขุดหา หน่อไม้
พูดคุยกันถึงเรื่องความงามของธรรมชาติ
สถานที่นี้ งดงามกว่า ที่ที่ข้าพเจ้าอยู่อาศัย .........
๔.
จับกิ่งเหนือมวลดอกไม้ นกสีเหลืองพากันขับขาน
กุ๋ย กุ๋ย เสียงร้องเสนาะใส
สตรีสาววงพักตร์งามดังหยก
ดีดีปแป้ขานรับ
บรรเลงเพลงมิรู้เบื่อ
วัยหนุ่มสาวเป็นช่วงเวลาน่้าใฝ่ฝัน
ครั้นเมื่อบุปผาโรยร่วงและวิหคบินหายลับ
หยาดน้ำตาของเธอจะหลั่งไหลในสายลมฤดูใบไม้ผลิ
๕.
ข้าพเจ้าร้องเรียกมิตรสหายมาเก็บดอกบัว
ชูช่อโบกไหวอยู่เหนือน้ำใส
เพลิดเพลินใจจนแทบหลงลืมกาลเวลาำ
ล่วงเลยสายจนสายลมยามค่ำพัดกรรโชก
กระแสคลื่นหนุนเนื่องเป็ดเลี้ยง
ระลอกคลื่นโยกคลอนเป็ดป่า
ลอยเรือเพียงลำัพังในยามนี้
ความคิดคำนึงไหลเนื่องไม่ขาดสาย.
๑๘.
รวงข้าวใหม่ยังสุกไม่ทันเก็บเกี่ยว
เมื่อกินข้าวเก่าหมดจนเมล็ดสุดท้าย
ข้าพเจ้าจึงออกไปขอยืมจากเพื่อนบ้าน
ไปยืนอยู่้หน้าประตู ลังเลรีรอ
พ่อบ้านมาที่ประตู และบอกให้ไปขอกับเมีย
แม่บ้านออกมาและบอกให้ไปขอจากผัว
ตระหนี่ถี่เหนียวเกินกว่าที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในยามขัดสน
คนเรายิ่งรุ่มรวยเพียงใด ก็ยิ่งโง่เพียงนั้น...
๑๙.
ผู้คนหัวเราะเยาะข้าพเจ้าที่คล้ายคนบ้า
"ท่านเคยเห็นคนท่าทางโง่งมอย่างนี้ไหม
แม้แต่หมวกก็ยังใส่ไม่ถูก
เข็มขัดก็ดึงจนรัดกิ่้ว"
ใช่ว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักแบบแผนการแต่งตัว
แต่ยามเมื่อจนยาก ท่านก็ไม่อาจทันสมัย
สักวันเมื่อข้าพเจ้าร่ำรวย
ก็จะซื้อหมวกสูงเท่าพระเจดีย์องค์นั้น...
๓๒.
ข้าพเจ้านอนเพียงลำพัง ใต้เงื้อมผา
ที่ซึ่งละอองหมอกอบอวลจวบจนยามสาย
ถึงแม้ ที่อยู่อาศัยจะมืดครึ้ม แต่จิตใจ กลับโปร่งใส..... อิสระ.....
ในความฝัน
ข้าพเจ้าท่องเที่ยวผ่านประตูสวรรค์
ควงวิญญาณเดินข้ามสะพานหิน
ข้าพเจ้าได้สละทุกสิ่ง ซึ่งเป็นเครื่องถ่วงหนัก
โกกโกก โกกโกก เสียงน้ำเต้าแห้งกระทบกิ่งไม้*
*มีคนสงสารผู้สันโดษ ฉู่ยู่(Hsu yu) ที่ท่านต้องใช้มือวักน้ำดื่ม
จึงมอบน้ำเต้าใส่น้ำ ให้ใบหนึ่ง แต่หลังจากใช้มันเพียงครั้งเดียว
ฉู่ยู่ก็แขวนมันไว้กับต้นไม้ ....และจากไป ปล่อยให้มันแกว่งไกวกระทบกับต้นไม้ในสายลม........
๖๐.
ปราชญ์ยิ่งใหญ่แต่โบราณ
มิได้บอกเลยว่าชีวิตยั่งยืนเป็นอมตะ
สิ่งที่เกิดมาล้วนต้องตาย
สรรพสิ่งป่นสลายกลายเป็นฝุ่นผงและธุลี
กระดูกกองสูงดังภูเขาวิปุล
น้ำตาแห่งความจำพรากมากมายดังท้องทะเล
สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ
ใครเลยจะรอดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเกิดและการตาย..
คัดจากหนังสือ : ขุนเขายะเยือก
ผู้ถอดความ : พจนา จันทรสันติ
สำนักพิมพ์ : เทียนวรรณกรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น