วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

ความมืดและเงียบกับต้นทางความสุข

.....เหงื่อซึมแผ่นหลัง เหนียวเหนอะตอนกลางวัน พร้อมๆกับการเหลืองกรอบเกรียม และทยอยล่วงหล่นของไม้ใบ คราต้นเดือนมีนา ช่างเป็นนาฬิกาสัญญาณเตือนการเปลี่ยนผ่านว่าหนาวจะหมดลง และร้อนแล้งจะกลายเยือน....
....วันนี้เช่นกัน ช่างร้อนได้ใจจริงๆ ผมจึงพาตัวเล็กไปคลายร้อนนอกบ้าน.... มุ่งสู่ลำห้วย ในโขดเขา ที่นั่นมีร้านอาหาร..ชื่อ ครัวหาดหินงาม อยู่เลยบ้านห้วยหลวง สักสองกิโล เห็นจะได้  ไม่ง่ายนักดอก ที่นางฟ้าตัวน้อย วัยขวบเศษของผม จะได้ออกข้างนอก เพราะด้วยความเป็นห่วงของทุกๆคน การออกจากที่ตั้ง จึงกลายเป็นเรื่องละเอียดและพิถีพิถันในการตัดสินใจ ยิ่งเข้าป่าลงห้วยด้วยซ้ำแล้ว นับว่ายาก หรือแทบไม่มีความเป็นไปได้ก็ว่าได้ ...อย่างไรก็ตาม สวรรค์ก็สร้างวันหยุดสำหรับความเข้มงวดเสมอ แม้ปฏิทินการตัดสินใจ จะไม่ได้ระบุไว้ล่วงหน้าก็ตามที....
....อีเขียวสัมพันธ์ ของผม พาทุกคนฝ่าดง มุ่งลงแช่น้ำ ในลำห้วย เพื่อดับร้อนให้เย็นทรวง ขับรถไป ใจก็พลันคิด ทำไมหนอ...เราต้องดั้นด้น มาที่ยากลำบาก ถึงเพียงนี้ ที่อื่นมีตั้งเยอะแยะ ทำไม ไม่ไป?
   ...ลมแล้งหอบผงฝุ่นเถ้าฟุ้งกระจาย พร้อมๆกับพัดไผ่และไล่ต้อนใบตะแบกสีกล้วยทอดกรอบเกรียม ให้เรี่ยเรียงรายไว้ริมทางอย่างเสรี ก่อนที่ลมของรถ จะพัดใบให้ปลิวว่อนตามหลังอีกครั้งครัน พลันก็นึกถึง คำพูดของใครคนหนึ่ง พูดถึงการท่องเที่ยว อย่างน่าคิดว่า  "..ความมืดและเงียบ คือ จุดขายการท่องเที่ยวในอนาคต...."
       ครับ ช่าง เป็นนิยามที่สั้น ครบและชัด ยิ่งนัก อย่างน้อย คำพูดเหล่านั้น ก็ฉายฉาน ความคมชัดแห่งภาพทุกขณะแล้วในวันนี้ วันที่ตัวผมเองยังเลือกหมุนพวงมาลัยตะลอนดง แทนการเข้าห้างเมืองต่างแอร์เย็น  .....บางที่ นิยามที่เคยรู้ ในวันก่อน  ก็ไล่ต้อนตอกย้ำ ความเข้าใจให้คนเราอีกครั้งจนได้ในวันนี้... 

 ......ผมพยายามทำความเข้าใจ และต่อเติมความหมายของ ที่มืด ว่าน่าจะเป็นที่ที่สามารถมองเห็นดาวได้เต็มฟ้า และเห็นจันทราทอแสงนวล ใน คืนแรม ไม่ต้องมีสวิตซ์ หรือเสาไฟ อาศัยเพียงฟืนไม้ ตะเกียง ให้ส่องสว่างเห็นทางเทียวก็คงพอ และอาจรวมถึง ถิ่น ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก ส่วนที่ว่า เงียบ นั้น คิดว่า คงเป็นที่ ที่สงบพอ อย่างน้อยขอให้ได้ยินเสียงแมกไม้ทักทายสายลมไหว ยินเสียงหายใจของตนเอง  รวมทั้งบทเพลงรำพันของเรไรในคืนค่ำ ..อย่างไรเสีย ก็คงไม่ถึงกับเงียบสงัดวังเวง จนน่ากลัว อันนั้น อาจจะออกเกินไปนิดนึง..
..... ทางเข้าสู่ร้านค่อนข้างลำบาก พื้นผิวถนนออกแนวๆลานหินปุ่มสลับหลุมอุกาบาต จากดาวอังคาร  แม้ระยะทางจะไกล  แต่เจ้าของร้านได้วางอะไรบางอย่างไว้เป็นอย่างดี   คน ถ้าเข้าใจธรรมชาติของ คน แล้ว มันก็ไม่ไกลหรือยากอีกต่อไป ที่จักมีการไปเยือน ดูหนุ่มน้อยหาปลานั่นประไร หากรู้หลัก ดักอวนดักไซที่ดีแล้ว ปูปลาย่อมเข้าไปติด ...อย่างน้อย ทุกคนในอีเขียวสัมพันธ์ ก็เป็นปลาฝูงนึงหละ ที่นำเงินไปให้ จนถึงเรือนเจ้าของไซทีเดียว
.......โดยภาพรวมแล้ว ร้านที่เราไป มีจุดเด่นตรงที่อยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของผืนป่าและสายน้ำใส ทำให้ผู้มาเยือนมีเวลา ได้อยู่กับลมหายใจของตนเอง ได้สัมผัสความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ไร้พันธนาการรัดรึง อิสระจากปัจจัยภายนอกนานา ตรงนี้น่าจะเป็น จุดต่าง จุดที่ต่างจากที่อื่น และกลายเป็น จุดแข็ง ของ ไซ แห่งการท่องเที่ยว ผมลองเดินสำรวจรอบขอบบริเวณ เห็นเป็นสวน มีพันธุ์ไม้ต่างๆ นานา ขึ้นเต็ม คงปลูกไว้นานหลายปีแล้วกระมัง โตบ้าง เล็กบ้างเกิดคละกันไป ชอบใจมากที่สุด คือสวนกล้วย แล้วมีทางน้ำไหลผ่าน มันเป็นสวนกล้วยธรรมดา พื้นๆ นี่แหละ ไม่น่าคิดว่า ความธรรมดา เช่นนั้นจะสร้าง ความสุขทางใจ ได้อย่างพิลึกและน่าอัศจรรย์เช่นนี้
....แนวคิดของร้าน พยายามอิง จุดต่าง ด้านความมืดและเงียบ เป็น จุดขาย ทุกอย่างดีไซน์รองรับฐานคิดนี้ เช่น บ้านปีกไม้สำหรับให้คนเช่าพัก ก็ไร้เสา(ไฟฟ้า) มีลานสำหรับนอนดูดาว ปลูกอิงลำน้ำ มีมุมสงบยื่นเป็นระเบียงออกมา ท่ามกลางอ้อมกอดของผืนป่าและธารนาวาที่ชุ่มเย็น เหมาะสำหรับการอยู่กับตนเองและธรรมชาติภายในยิ่งนัก
....ด้านล่างมีกระท่อมปลูกเรียงราย ข้างสายน้ำ หลังคามุงด้วยหญ้า มัดริ้วด้วยตอก พื้นนั่ง ปูฟากไม้ไผ่ ดูแล้วเรียบง่าย แต่มีเสน่ห์ลุ่มลึก ซึ่งมีมิตรสหายมาจับจอง นั่งดื่มด่ำกับความเงียบงามนี้ ก่อนหน้าแล้ว 2-3 กลุ่ม
....ผมเอนหลังพิงเสากระท่อมไผ่ สายตาวาดมองผืนน้ำ ยามบ่ายอ่อนๆเช่นนี้ แสงแดดทบต้องผืนน้ำพร้อมรับจังหวะกระเพื่อมไหว มองไกลๆ ระยิบระยับวับแวววาว ราวมณีสูงค่า....ช่างงดงามเสียนี่กระไร
.... เด็กน้อยคนหนึ่ง ผลุดโผล่ ดำว่าย แช่คว่ำแช่หงาย กลางลำยวม เป็นว่าเล่น ยิ้มและพูดกับตนเองตามลำพัง ผมเอนหลัง มองดูเขาเสียเพลิน..... เพลินพลางใจก็พลันเดินทางไป.................
    ...อือมม....แปลกดีหนอ เด็กน้อย... เจ้าช่างสามารถ สร้างและเข้าถึง ความสุขได้ง่ายยิ่ง ง่ายกว่าผู้ใหญ่หลายๆคนเสียด้วยซ้ำ ง่ายจนไม่จำเป็นต้องมีปัจจัยหรือเงื่อนไขใดนัก กางเกงเพียงผืน ก็ลอยคอความสุข ได้นานนับวัน หยิบจับสิ่งของที่อยู่รอบตัวเพียงชิ้น ก็จินตนาการและสร้างความสุขด้วย ต้นทุนที่ย่อมเยา ช่างไกลกันกับผู้ใหญ่ ที่กว่าจะสุขได้ ต้องร่ายหลายขั้น ต้องเอื้อนหลายตอน บางทีกว่าจะหารอยยิ้มที่เปี่ยมสุขอย่างจริงแท้เจอ... ลิเกก็จวนจะลาโรงแล้ว........
....เจ้าของร้านเดินมาเสิร์ฟต้มไก่ กลิ่นโชยมาแต่ไกล หอมกรุ่นเครื่องปรุง พริกแห้งเผาบดลอยเมล็ดกระจายเต็มถ้วย เนื้อไก่เปื่อยยุ่ย นุ่มเหนียวไร้มันอย่างไก่บ้านทั่วๆไป นี่เป็นเมนูแรกของเราในวันนี้ แต่ความกระหายหิวทางท้อง ยังมิเท่าทันความกระสันใคร่รู้ของใจว่า ทำไม ทำไม? คนเราจึงเข้าถึงความสุขได้ในระดับที่ต่างกัน
... พลางครุ่นคิดและทอดสายตาออกไปไกล ปล่อยใจให้ล่องไหลกับสายน้ำ ลอยออกไป ไกลลลลล...แสนไกล จนต้มไก่เย็นจืดถนัดตา.

.....อืมม...หรือจะเป็นเพราะว่าความสุขนั้น แท้จริงแล้วเป็น ต้นทุน ที่เราท่านมีกันมา แต่อ้อนออก หากวันเวลาและปัจจัยแวดล้อมภายนอก ได้สร้างกำแพงมาปิดป้อง จนทำให้ยากแก่การเข้าถึง ยิ่งนับวัน ขอบเขตกำแพงยิ่งขยายล้อมรอบ ไปเรื่อยๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับเด็กน้อย ที่เกิดมาบนพื้นฐาน ต้นทุน ที่บริสุทธิ์ ไม่มีรอยดำให้เปื้อนด่าง ดุจดังกระดาษขาว ที่จะเขียนวาด อะไรลงไปย่อมเห็นเส้นลายงาม คมชัด ผลแห่งการเขียนขีด บรรลุดังเจตจำนงของผู้เขียนนั้นแหละ คือความสุข ตรงกันข้ามกับ การที่ไม่สามารถทำอะไรดังที่ใจปองได้นั้นคือ ส่วนกลับของสุข ที่เราคุ้นชินกัน ว่า ทุกข์
....คำถามมีว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ยิ่งเรามีอายุมากขึ้น เรายิ่งเดินห่างจากความสุขกระนั้นหรือ? และจะเข้าถึงความสุขเยี่ยงเด็กๆได้อย่างไร? ....คำตอบอย่างน้อยน่าจะมี 2 ประการ อย่างแรก น่าจะอยู่ในที่ มืดและเงียบ ...ที่มืดที่ทำให้เราได้เห็นตน อยู่กับตน อยู่กับการกระเพื่อมไหวของผืนน้ำบนจิตใจของตนเอง...แล้วเอนหลังเงี่ยหูฟัง เมโลดี้แห่งความเงียบสงัดที่ลงตัวนั้น ........น่าจะเป็นหนทางที่จะเข้าถึงต้นทุนของความสุขที่เคยมีได้ และน่าจะเป็นหนทางที่ทำลายกำแพงปิดกั้นการเข้าถึง ต้นทางความสุข ได้ เช่นกัน.......
.....อย่างที่สอง ความสุขที่ได้เห็นของเด็กๆ เขาสร้างมาจากจิตจากใจข้างในของเขา ปัจจัยภายนอก จึงแทบไม่มีผล จะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด เขาก็สร้างสุขได้ ตรงข้ามกับผู้ใหญ่ ที่เราให้ความสำคัญกับภายนอก มากไป จนลืม จิตเดิมแท้ ที่อยู่ภายใน มันจึงห่างไกลจากสุข...ผมครุ่นได้เช่นนั้น แม้คำตอบจริงๆอาจมิได้เป็นเช่นนั้น แต่อย่างน้อย ความเงียบและมืด ก็เป็น ใบเบิกทางให้ได้เข้าถึง โลกภายในแห่งตน
 
.....แสงแดดยามบ่าย ได้ลดลับเหลี่ยมดอยและร่ำลาผืนน้ำไปนานแล้ว เสียงนางฟ้าตัวน้อย เอื้อนเสียง อู้อี้ๆ แว่ว ๆ มาข้างหู พร้อมๆกับโอบเกาะไหล่ผู้ให้ชีวิตและคะยั้นคะยอให้อุ้มและพากลับบ้าน.....
 
.....ขอบคุณความมืดที่ทำให้ได้เห็น ขอบคุณความเงียบที่ทำให้ได้ยลยิน ขอบคุณเด็กน้อยที่ทำให้เห็นความเป็นผู้ใหญ่ ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ฉายภาพความเข้าใจต่อความเป็นเด็กน้อย...
 
..... ก่อนกลับ เจ้าของร้านเชื้อชวนให้มาเยือนอีกครั้ง ...ไร้คำตอบจากอาคันตุกะ ในลำน้ำไกลออกไป มองเห็นไซ อยู่รำไร ในไซ มองเห็นหมู่ปลา ...ปลาที่มา เมื่อเช้าทั้งนั้น....
 
        พิณ คืนเพ็ญ

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

ใส่ใจกับน้ำใจ

ส : สวัสดีครับท่าน


ร : เอ้อ...ได้คอมฯใหม่ย่ะ


ส : คอมฯ อะไรครับ


ร : คอมฯ จัดสรร


ส : ผมไม่ทราบครับ


ร : จะเอาไปไว้ที่ไหน


ส : ถ้าได้ผมจะจัดเป็นระบบสืบค้นของห้องสมุดครับ


ร : ถ้ามีน้ำใจนะ ทำบันทึกขอสละสิทธิ์ให้ที่อื่น


ส : ????????????


.....ผมไม่เข้าใจ และพยายามทำความเข้าใจ กับการสนทนาของผมกับคน(ใหญ่)คนหนึ่่ง ที่ไม่เข้าใจคือ อยู่ๆ เขาก็มาบอกว่า หน่วยงานของผมได้รับการจัดสรรคอมฯ ซึ่งคนที่รับผิดชอบและทำหน้าที่พิจารณาจัดสรรให้นั้น ก็คือคนที่บอกผมให้สละสิทธิ์ นั่นแหละ


......ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าหน่วยงานผมไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้ แล้วคุณจัดสรรให้ผมทำไม? และเมื่อจัดให้แล้ว ก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่ผมจะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ มิใช่หรือ นี่อยู่ๆมาบอกให้ผมแสดงความมีน้ำใจ โดยการสละสิทธิ์ (เหมือนเราแห้งแล้งน้ำใจอย่างยิ่งยวด) โอเค มันดูดี และผมก็ใจกว้างพอทีจะทำเช่นนั้น ซึ่งในวันนี้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมายนัก ของที่มีอยู่ก็เพียงพอกับการใช้งาน.. ที่ผ่านมาพวกเราก็ช่วยเหลือตนเอง โดยการระดมทุนจากองค์กรภายนอกมาโดยตลอด คนคนนี้ก็ไม่เคยดูแลอะไร (อย่างนี้น่าจะเรียกว่าไม่มีน้ำใจ มากกว่า) ผมไม่เข้าใจ ...คนเป็นผู้นำคนได้ จิตทัศน์มีเท่านี้เองดอกรือ?

ร: ดูอย่าง ร.ร...... เขาก็สละสิทธิ์ เพราะเขาได้จากที่อื่นแล้ว

ส: อ๋อ .....เหรอ....ครับ

..........หนึ่งเดือนเศษผ่านไป ข่าวการจัดสรรคอมพิวเตอร์ ให้กับโรงเรียนต่างๆ ก็เข้าที่ประชุมใหญ่อีกครั้ง คราวนี้ มีการต่อว่า ร.ร. ...... ที่เขาสละสิทธิ์ว่า ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นมติของบอร์ดและแจ้งจัดสรรไปแล้ว จะดำเนินการเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ประมาณว่าเขาจัดสรรให้ก็ต้องเอา จะสละสิทธิ์ไม่ได้ อะไรทำนองนั้น...และที่น่าสำรอกความรู้สึกดีดีที่เคยมีต่อ คนใหญ่ คนนี้ ก็คือ คนที่แจ้งที่ประชุมว่าไม่สามารถสละสิทธิ์ได้ ก็คือเขานั่นเอง ....เวรกรรม.....