วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

คิดนอกกรอบ : มุมคิดหนึ่ง พึงต้องมี ของครูคน

การคิด นับเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ของแต่ละคน ว่ากันว่า คนที่มีประสิทธิภาพทางการคิด มักจะส่งผลให้เกิดประสิทธิผลในการปฏิบัติอยู่เสมอ เพราะการปฏิบัตินั้น มีพื้นฐานโยงใยมาจากการคิดนั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น แทบแยกจากกันไม่ออก ราวกับแฝดอินจัน อะไรก็ไม่ปาน
การคิดนอกกรอบ เป็นวิธีคิดหนึ่ง ในหลาย ๆ วิธีคิด ซึ่งหมายถึง วิธีการ เทคนิค หรือแนวความคิดใหม่อย่างสร้างสรรค์ ที่แปลกและแตกต่างจากแนวความคิดเดิม เพื่อให้เกิดการพัฒนาเป็นแนวทางใหม่  เช่น ผลลัพธ์ของ 1+2+3+4+5 = ?  คำตอบโดยทั่วไปคือ 15 ซึ่งอาจเป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ถ้าคิดนอกกรอบแล้ว คำตอบอาจจะไม่ใช่ 15 ก็ได้ ซึ่งแตกต่างไปจากแนวคิดเดิมที่เราเข้าใจ อย่างไรก็ตาม คนเราจะคุ้นชินกับแนวความคิดแบบเดิม และจำกัดกรอบของคำตอบอยู่แค่นั้น และตัดสินคำตอบอื่นว่า ไม่ถูกบ้าง ไม่เหมาะสมบ้าง เป็นต้น ฉะนั้นแล้ว จึงต้องส่งเสริมการคิดนอกกรอบให้เกิดขึ้นมากๆ เพราะนี่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการปฏิบัติงานทั้งในฐานะของปัจเจก องค์กร และสังคมได้
 สำหรับองค์กรครู คนที่จะเป็นครู หรือผู้สอนผู้อื่นให้รู้จักคิดนอกกรอบนั้น สิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างแรกที่ต้องมี คือ ความเห็นถูก เกี่ยวกับการคิดนั้นก่อน ความเห็นถูก ในที่นี้ คือ ต้องเชื่อและมั่นใจว่า การคิด สามารถ ฝึกฝน เรียนรู้ และพัฒนาได้ ประการหนึ่ง และทุกๆคนสามารถพัฒนาได้อีกประการหนึ่ง เมื่อเห็นถูก เช่นนั้นแล้ว การฝึกฝน พัฒนาตนให้มีประสิทธิภาพในการคิด เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการปฏิบัติ จึงเป็นสิ่งที่ตามมาโดยปริยาย
 9 เทคนิคคิด พิชิต การคิดนอกกรอบ
เทคนิค วิธการพัฒนาการคิดนอกกรอบ นั้น มีหลายวิธี หาสรุปเท่านั้น เท่านี้มิได้ อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ สามารถรวบรวมเพื่อเป็นข้อเสนอเชิงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ ดังนี้
1. กล้าที่จะคิดให้ต่างจากกรอบแนวคิดเดิม
2. คิดหลากหลาย ทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพ เช่น ทางเดินสู่ดอยปุย มีมากกว่าที่เรานึก เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ อยู่เสมอว่า ทุกอย่างมีทางออก มีทางไป อย่างหลากหลาย เราสามารถฝึกฝนให้เข้าถึงเช่นนั้นได้
3. คิดตรงข้าม มองต่างมุม หรือกลับหัวคิด จากแนวคิดเดิม
4. คิดตัด คำว่า เป็นไม่ได้ ทำไม่ได้ ไม่มีทาง ออกไปจากชีวิต เพราะ คำพูด ความคิด เหล่านี้จะคอยปิดกั้นทางเลือกเชิงสร้างสรรค์ต่างๆ ของตน
5. คิดใหม่ เพื่อสร้างรอยเท้าทางความคิดของตนเอง
6. คิดยืดหยุ่น  การยืดหยุ่นทางความคิด คือ อย่าจำกัดด้วยประสบการณ์เดิม พยายามไม่ใช้ประสบการณ์เดิม แต่ให้พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สร้างทางเลือกให้มากที่สุด และให้นำทางเลือกที่หลากหลายนั้น มาทดสอบในสนามความคิด ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ก่อนตัดสินใจเลือกทางที่เหมาะสมมากที่สุด
7. คิดโดยใช้คำถามว่า ทำไม เพื่อฝึกฝนและพัฒนาตนในการหาคำตอบที่หลากหลาย
8. คิดเปลี่ยน ปัญหา ให้เป็น ปัญญา ทุกๆ โจทย์ปัญหาที่พานพบในชีวิต พยายามคิดและพลิกวิกฤตเหล่านั้น ให้เป็นโอกาสให้ได้  มองปัญหาเหล่านั้น คือโจทย์ทดสอบชีวิตจริงของเรา ผู้ที่จะตอบโจทย์ชีวิตเหล่านั้นได้ คือตัวเรา
9. คิดว่า ตัวเรา คือ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น เป็นเรื่องยาก ดังนั้น จึงควรเห็นคุณค่าของตนเอง และพยายามดึงศักยภาพที่มีอยู่ออกใช้เชิงสร้างสรรค์

9 อุปสรรค ที่ต้องรู้จัก ก้าวให้พ้น
ปัญหาใหญ่ของสังคมไทย คือ การปิดกั้นทางความคิด จึงทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย โดยเฉพาะการไม่กล้าคิด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งปรับปรุงและเปิดกว้าง มิเช่นนั้นการพัฒนาความคิด จะหยุดชะงัก สาเหตุที่เป็นอุปสรรค มีดังนี้
1. คิดไม่เป็น  ไม่ รู้จักคิดปรับปรุงอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองหรือคนอื่น ๆ รวมถึงงานที่ทำอยู่ ต้องคอยรับคำสั่ง ต้องมีผู้คอยขีดเส้นให้เดินตามเส้น ไม่สามารถที่จะออกนอกเส้นทางได้ ไม่เช่นนั้นจะหลงทาง ทำอะไรไม่ถูก สมองจะไม่มีการคิดอะไรใหม่ ๆ ไม่เกิดการพัฒนาและเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
2.ไม่มีความรู้ ไม่มีความรู้ในที่นี้ หมายถึงความรู้ในเรื่องที่ถนัดหรือเฉพาะเจาะจงหรือเฉพาะทาง มนุษย์ทุกคนต่างก็ต้องมีความสามารถ มีความเก่งที่แตกต่างกันออกไป การที่เราไม่มีวามรู้ในเรื่องที่ทำ หรือความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง จะทำให้ปิดกั้นความสามารถของตนเองโดยสิ้นเชิง
3.ไม่มีวิสัยทัศน์ หรือจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนแน่นอน จริงจัง รู้ว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร ไม่ใช่ความคิดที่เพ้อฝัน แต่ต้องสามารถกระทำได้จริง
4.ไม่ปรับปรุงตนเอง เท่ากับเป็นการลดระดับความสามารถของตนเอง ประเภทการทำงานประจำ โดย มิได้มีความคิดหรือการพัฒนาอะไรใหม่ ๆ เพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพ จัดอยู่ในประเภททำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
5.ฉาบฉวย ทำงานไม่จริงจัง ไม่ตั้งใจ จัดในประเภทเก่งแต่พูด ไม่สามารถทำได้ตามที่พูด
6.คดโกง ในใจคิดแต่จะได้ ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่ตั้งใจไว้ต้องได้ แม้ว่าจะผิดศีลธรรมก็ยอม
7.คับแคบ  มองใกล้  ใฝ่ต่ำ มองโลกในแง่ร้าย ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น สนใจแต่เรื่องของตัวเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้ตนเองพ้นจากข้อตำหนิ กล่าวหา เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ ใครจะเป็นอย่างไร ไม่สนใจ
8. ไม่ทันสมัย เป็นบุคคลที่ไม่ยอมรับรู้หรือยอมรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใด ๆ สอนแค่ไหน ก็ทำตามอยู่แค่นั้น ไม่มีการพัฒนาหรือต่อยอด ค้นคว้าความรู้ใหม่ ๆ 
9.ไม่ยอมรับความจริง ไม่วิเคราะห์หรือขาดกำลังใจ หากประสบปัญหาในการทำงาน เช่น ไม่ได้เลื่อนขั้น เป็นต้น จิตใจอาจจะหดหู่ ไม่อยากคิดอะไรแปลกใหม่

ตัวอย่าง การคิดนอกกรอบ จากห้องเรียนชายขอบ บนดอยสูง

ในห้องเรียน ป.3  ครูสาว (เกือบสวย) คนหนึ่งกำลังพยายามสอนนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์
เธอยกตัวอย่างโจทย์ให้ นักเรียนว่า
ครู : "มีนก 3 ตัว เกาะอยู่บนสายไฟ นายพรานเอาปืนยิงโดนนกตัวหนึ่งตกลงมา
จะเหลือนกกี่ตัวบน สายไฟ ?"
ดช.พะแด : "ไม่เหลือเลยครับ"  ตอบด้วยแววตาของเด็กที่มีความคิดความอ่าน
ครู : "ไม่ใช่ ไม่ใช่ อ้าว เธอลอง คำนวณดูอีกทีซิ พร้อมทั้งชูนิ้วขึ้นสามนิ้วประกอบการอธิบาย
"มีนกสามตัว เกาะบนสายไฟ นายพรานยิงไปหนึ่ง"

ครูพูดจบพร้อมทั้งลดนิ้วลงหนึ่งนิ้ว
"จะมีนกเหลืออยู่บนสายไฟกี่ตัวเอ่ย ?"
"ไม่เหลือเลยครับ" ด.ช.พะแด ตอบย้ำอีก อย่างขึงขัง
 ครูชักสงสัยในความมั่นใจของลูกศิษย์
"บอกครูซิ เธอมีเหตุผลอย่างไร ถึงคิดว่าเป็นอย่างนั้น"
"ง่ายมากครับ"  ด.ช.พะแด ตอบ
"เมื่อนายพรานยิงปืนหนึ่งนัด โดนนกหนึ่งตัว นกที่เหลือจะตกใจบินหนีไปหมด"
"อืม ดี ถึงแม้ว่าไม่ถูกต้อง ตามโจทย์และหลักคณิตศาสตร์ แต่ครูชอบวิธีคิดของเธอนะ"   ครูตอบ

"เอาอย่างนี้ดีกว่าครับครู ให้ผมถามมั่ง" ด.ช. พะแด เริ่มบ้าง
"มีผู้หญิงสามคนนั่งบนม้านั่ง กำลังกินไอติมดุ้นยาวอยู่
ผู้หญิงคนแรกเลียแท่งไอติม ผู้หญิงคนที่สองกัดแท่งไอติม
ส่วนผู้หญิงคนที่สามดูดแท่งไอติม ผมถามครูว่า ผู้หญิงคนไหนแต่งงานแล้ว"  

ครูสาวมองหน้า  ถึงกับทำหน้าไม่ถูก แต่หน้าครูสาวก็แดงระเรื่อขึ้น แล้วอึ้งไป
"ครู ครู ผมถามอีกทีก็ได้นะ มีผู้หญิงสามคนนั่งบนม้านั่ง
กำลังกินไอติมดุ้นยาวอยู่ ผู้หญิงคนแรกเลียแท่งไอติม ผู้หญิงคนที่สองกัดแท่งไอติม
ส่วนคนที่สามดูดแท่งไอติม ผมถามครูว่า ผู้หญิงคนไหนแต่งงานแล้ว"
 "เอาอย่างนี้แล้วกันนะเธอ" ครูตอบเสียงเบาๆ
"ครูว่าผู้หญิงคนที่ดูดไอติมแท่งน่ะ เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว"
"ไม่ใช่ครับครู คนที่แต่งงานแล้ว คือคนที่มีแหวนแต่งงานสวมอยู่ที่นิ้วมือต่างหาก"
ด.ช. พะแด อมยิ้ม  พร้อมกับพูดตบท้าย "ถึงครูจะตอบไม่ถูก แต่ผมก็ชอบวิธีคิดของครูนะครับ"

สรุป
            จากที่กล่าวมา การคิดนอกกรอบจะสำเร็จหรือไม่นั้น ประการแรกอยู่ที่การเห็นถูก เกี่ยวกับการคิด และได้ลงมือฝึกฝนพัฒนาตนเองเป็นสำคัญ บนพื้นฐานที่ว่า ทุกคนสามารถพัฒนาได้  ซึ่งเทคนิค วิธีการนั้น มีหลากหลาย แต่ละเทคนิค สามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ สิ่งสำคัญคือ คนเราต้องคิดบ่อยๆ ฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ หากมีการหยุดคิด ก็เท่ากับเป็นการหยุดพัฒนา หยุดความก้าวหน้าของตัวเอง ผู้ที่เป็นครูซึ่งมีหน้าที่จัดการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียน จึงจำเป็นต้องพัฒนาการคิดตนเองก่อน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนอย่างมีประสิทธิผลต่อไป

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

ครูพูนสุข


คือ คุณครู ผู้ปลุก ให้คนตื่น คือผู้ยื่น มืออวย ช่วยจับแขน คือผู้เอื้อ โอกาส เด็กขาดแคลน คือพูนสุข ทั่วดินแดน ที่ยาตรา...


ครูพูนสุข เป็นครูคนหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสรู้จักและร่วมกิจกรรมกัน ความดีของเธอไม่มีไว้ให้ยกยอหรือสาธยาย รู้อย่างเดียว ผมจะเดินตามครับ

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

หมาโรงเรียนกับสภาวะธรรม

      โรงเรียนของผม มีหมาทั้งหมด สามสิบตัว พอพอกับจำนวนนักเรียนชั้น ป.สาม นี่นับเฉพาะอยู่ประจำ ไม่รวมตัวที่ไป-กลับ ซึ่งมีอีกราวสิบตัวเศษ  หมาเหล่านี้ ผมเรียกว่า หมาราชการ เพราะจะอยู่หรือมาโรงเรียนเฉพาะในวันที่เปิดทำการเท่านั้น วันหยุด ไม่เห็น...แม้แต่หาง

      สถานที่พักพิงของเขา คือโรงรถหน้าบ้านพักครู บ้างก็ข้างหอพักนักเรียน บ้างก็ใต้ถุนอาคารไม้ บ้างก็ขุดโพรงดินอยู่ตามแนวป่าด้านหลัง อยู่กันเป็นครอบครัวเลยครับ พักหลัง ออกลูกเล็กๆ อีกแปดตัว เสียงอีดออด ๆ ระงมสุดวันสุดคืน เป็นที่รบกวนยามพักผ่อนยิ่งนัก

      นอกจากเสียงแล้ว การฉี่และอึ เรี่ยราด ไม่เป็นที่เป็นทางก็นับเป็นปัญหาไม่น้อย ตามสนามกีฬา หน้าอาคาร หรือแม้่แต่ถนนบ้าง สุดจะพรรณา แค่นั้นยังไม่พอ เช้าเย็นเพื่อนจะเป็นพนักงานเก็บขยะ ไล่คุ้ยขยะตามถัง เขี่ยแล้วไม่เก็บ ขยะตกกระจุยกระจายเต็มลานกว้า่ง เป็นที่รำคาญ แถมบางตัว มีหมัดเยอะ ตามซอกหูและขนหลัง ดำพรึด ย้วะเยียะไปหมด บางทีหมัดก็กระโดดติดแข้งขาคุณครูขึ้นไปห้องด้วย ครูบางคนแพ้หมัด จนตัวบวมแดง ก็มีให้เห็น จนมีใครหลายคนเสนอว่า ควรทำหมันบ้าง ควรแจกเขาไปเลี้ยงบ้าง หรือแม้แต่เสนอให้ทำลูกชิ้น และเมนูพิเศษ ก็มีเช่้นกัน
 
      ท่ามกลางภาวะ ไร้ประโยชน์ ไม่มีคุณหรือสร้างปัญหา... ของใครหลายๆ คน หมาน้อยเหล่านั้น ก็ได้ทำอะไรบางอย่าง อย่างเงียบๆ ให้ได้เห็น วันนั้นขณะที่ผมนั่งทำงานที่บ้านพัก ต้องหนวกหูกับเสียงเห่าของพวกเขา ทั้งดังและเอาเรื่อง นานเกือบครึ่งชั่วโมง ผมอดไม่ไ้ด้ เลยต้องเดินไปดู ปรากฎว่า มันพากันเห่า หมู (หมูอู๊ดๆ นี่แหละครับ) ของชาวบ้านที่เข้ามาในโรงเรียน หมูและสัตว์เลี้ยงอื่น นับเป็นปัญหาใหญ่ของโรงเรียนบนดอย หากไม่มีรั้วรอบขอบชิด แล้วมันจะเข้ามาก่อวีรกรรมนานา ไม่ต่างกับหมาหรืออาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ

     วันนั้น หมูดอยตัวเขื่อง หลงเข้ามาข้างใน ก็เจอ หมาหมู่ เหล่านั้น เห่าหมู เข้าให้ ไล่เห่า ไล่ขบ จนเกือบไม่รอด ต้องวิ่ง อู๊ด ๆ ๆ ๆ ออกนอกพื้นที่พัลวัน นับจากนั้น ก็ไม่ได้เห็นหมู หรือสัตว์เลี้ยงอื่นใด เข้ามาในโรงเรียนอีกเลย
 
     ครับ จากวันนั้น ก็ทำให้ผมเข้าใจสัจธรรมบางอย่าง ว่า สรรพสิ่งนั้นมีัคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองทุกอย่าง ต่างทำหน้าที่ของตน บางครั้งก็ไม่ควรประเมิน หรือตัดสิน อะไรง่ายๆ จากสิ่งที่ได้เห็น หรือคาดเดาจากความรู้สึก ความคุ้นชิน เข้าพิพากษาว่าต้องเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ เสมอไป

      บางทีสิ่งที่เห็นว่า มันไร้ประโยชน์ ไม่มีคุณค่า หรือสร้างปัญหา แท้จริง หาได้เป็นเช่นนั้นเสมอไปไม่ เพียงแต่ยังไม่ได้แสดงธรรม อีกด้านให้ประจักษ์ก็เท่านั้น สิ่งสำคัญคือ ตัวเราในฐานะผู้มอง ต้องมองสรรพสิ่ง บนพื้นฐานความเข้าใจ ตามความเป็นจริง ความเป็นจริงก็คือ ทุกสิ่งมีดำ มีขาว มีพร่อง มีเต็ม มีขาด มีเกิน ซึ่งเป็นสภาวะของความเป็นจริง เป็น สภาวะธรรม  เราจึงต้อง เห็นถูก ตรงนี้ให้ได้เสียก่อน เราไปเปลี่ยนแปลง ความจริง อะไรตรงนี้ไม่ได้ หน้าที่คือ จะอยู่อย่าง รู้เท่า และ รู้ทัน สภาวะธรรม เช่นนี้ได้อย่างไร นี่นับเป็นการบ้านของการพัฒนาตน... ถ้าทำได้ นั่นแสดงว่า เริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงภายในและเห็นธรรมขั้นต้นแล้ว...

     ขอบคุณหมาน้อยเหล่านั้น ที่ช่วยให้ได้เห็นอะไร จากภายนอก ได้พิจารณาอะไรจากภายใน จะพยายาม รู้ ความจริง ตาม ธรรม จะพยายามเข้าใจ และ รู้เท่าทัน ธรรม ทั้งหลาย ทั้งภายนอกและภายในตนต่อไป ....ขอบคุณครับ

    พิณ คืนเพ็ญ
ก่อนเที่ยงที่แม่ลิด

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

นางฟ้าของพ่อ

     เมื่อวานวันหยุดปีใหม่ ได้มีเวลาอยู่กับลูกสาว พูดคุยเล่นกันตามประสา
ตอนเย็น ท่านรองจรูญ บอกให้ไปเก็บส้มโอที่สวน ผมจึงชวนลูกไปด้วย
เธอดีใจ วิ่งไล่ เล่น ล่า บนกระท่อมตองตึงของท่าน
หลังจากนั้น จึงไปเก็บส้มโอ เดินลุยสวนชมไม้ ต้นนั้น ต้นนี้
เธอคุยเก่ง ถามโน่น ถามนี่ ตามเรื่อง ท่านรองจูงแขนพาไปให้อาหารปลาในบ่อ และเล่นน้ำ จนเปียกปอน
   
    ก่อนกลับ ผมแบกส้มโอขึ้นรถ ระยะทางลำเลียงไกลพอควร จึงให้ลูกรออยู่ที่กระบะ
พลางบอกให้รวมเป็นกอง ระหว่างรอพ่อมา หนูดีร้องเพลงเริงร่าตามลำพัง พร้อมๆ ทำตามดังที่บอก   ดุจผู้ใหญ่ ก็ไม่ปาน...

พักหลังมีเสียงเรียกตะโกนและถี่ดังขึ้นเรื่อย ๆ
"พ่อจ๋า พ่อยัญจ๋า พ่อยัญจ๋า ๆ ๆ ๆ ๆ..."

 ผมตกใจระคนวิ่งไปดู ด้วยใจเต้น นึกเกรงภยันตรายจะพานลูก
เห็นเธอแล้วก็โล่งอก หมูน้อยของผมยิ้มหวาน โชว์แก้มป่อง แล้วพูดว่า

"พ่อยัญจ๋า สัญญากับหนูดีนะคะ"

"สัญญาอะไรครับลูก"

"พ่อต้องรักษาศีล ไม่โกหก ไม่ดื่มเหล้า
ดื่มเหล้าไม่ดี เดี๋ยวตกนรก รู้ไหมนรกน่ะ มีผีปากแดงด้วย"

ผมอึ้งพร้อมๆ ผวาโอบและหอมฟอดแก้มตุ้ยๆขาวๆ จนสุดลม
น้ำใส ไหลแก้ม เมื่อใด มิทันรู้
มือน้อยๆ อวบอ้วน น่าเอ็นดูนั้น ก็ค่อยๆปาดเช็ดจนขอบตาผู้พ่อจวนเหือด
เหลือแต่ความอ่อนไหวและร้าวลึกในๆ ของเจ้าของดวงตา ไม่สร่างซา...



ลูกจ๋า....
พรุ่งนี้ เป็นไงเราไม่รู้่
พ่อจะอยู่ หรือไปอย่าได้เกรง
วันนี้ ยังมีพิณ พ่อบรรเลง
เป็นบทเพลง กล่อมลูกหล้า.... หลับตาฝัน....



เที่ยงวัน บนดอยแม่ลิด
คิดถึงลูกเจ้า
ขอให้เสนียดปีเก่า
มลายหายหนี
บทสนทนาที่เจ็บปวด
จงจางเจือและคืนสู่ภาวะปกติ
เหลือแต่รัก รัก และรัก สลักใจ ครอบครัวเรา



          พิณ คืนเพ็ญ

           2 มกรา 56











กลับสู่นาสวน




กลับสู่นาสวน: เถาหยวนหมิง
เมื่อเป็นเด็ก ข้าไม่ตามกระแสสังคม
มีนิสัยรักภูผาป่าดอย
แต่ได้หลงผิดอยู่ในบ่วงราชการ
เสียเวลาไปถึงสามปี
นกในกรงปรารถนาป่าดั้งเดิม
ปลาในบ่อคิดถึงหนองบึงเก่า
จึงกลับไปถางพงป่าทางใต้
มักน้อยกลับสู่นาสวน
บ้านข้ามีที่ดินสิบโหม่วเศษ
กระท่อมหญ้าแปดเก้าหลัง
อวี๋และหลิงให้ร่มเงาชายคาหลังบ้าน
ท้อสาลี่เรียงรายอยู่หน้าบ้าน
ในที่ไกลมีหมู่บ้านลิบๆรำไร
ควันจากหมู่บ้านลอยอ้อยอิ่ง
สุนัขเห่าในซอกซอยลึก
ไก่ขันบนยอดต้นหม่อน
บริเวณบ้านไม่วุ่นวาย
เรือนว่าง มีเวลาว่าง
อยู่ในกรงมาช้านาน
ได้กลับสู่ธรรมชาติอีกครั้ง


บทกวี จากเพื่อนโต้ง มอบให้วันมาบรรจุเป็นครูแม่ฮ่องสอน
23 พฤษภาคม 2543 

ขุนเขายะเยือก 33



ข้าพเจ้าเสาะแสวงหาสถานที่อาศัย
ขุนเขาเทียนไท้เป็นที่เหมาะสม
เสียงลิงค่างวิเวกร้อง เมื่อสายหมอกเย็นปกคลุม
ประตูฟางหญ้าเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับหินผา
ข้าพเจ้าเก็บใบไม้มามุงหลังคากระท่อมในป่าสน
ขุดแอ่งน้ำและลำธารเล็กๆ ณ ที่มีตาน้ำ
บัดนี้ข้าพเจ้าคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่สันโดษ
เก็บเฟินกิน  ชีวิตก็สามารถผ่านพ้นวันเวลาที่หลงเหลือ.


คัดจากหนังสือ : ขุนเขายะเยือก  
ผู้ถอดความ     : พจนา จันทรสันติ
สำนักพิมพ์       : เทียนวรรณกรรม

ขุนเขายะเยือก 60



ปราญช์ยิ่งใหญ่แต่โบราณ
มิได้บอกเลยว่าชีวิตยั่งยืนเป็นอมตะ
สิ่งที่เกิดมาล้วนต้องตาย
สรรพสิ่งป่นสลายกลายเป็นฝุ่นผงและธุลี
กระดูกกองสูงดั่งภูเขาวิปุล
น้ำตาแห่งความจำพรากมากมายดั่งท้องทะเล
สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ
ใครเลยจะรอดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเกิดและการตาย.

ขุนเขายะเยือก บท ๖๐ นักพรตฮั่นชาน รจนา พจนา จันทรสันติ ถอดความ