ตกน้ำ จมน้ำ ดำว่าย
มือไม้ คว้าไขว่ ไม้มั่น
เกาะเกี่ยว เหนี่ยวรัด พัลวัน
หมายมั่น พ้นผ่าน ภัยจม
แม้ฟาง เส้นเดียว ยังจับ
กลัวยับ คลื่นพา ถาโถม
กลัวเดี่ยว ตายเกลื่อน คลุกตม
จิตไกล เกินโน้ม สติครอง
ชีวิต มีเกิด มีดับ
นั่งนับ มีหนึ่ง มีสอง
หนึ่งเกิด สองดับ ครรลอง
พี่พ้อง น้องฉัน พ้นได้ ไป่มี
พิณ คืนเพ็ญ
กล่อมลูก แม่สะเรียง
ชดเชยวันมาฆะกุมภา 56

"เวทีนี้ มีไว้เพื่อบันทึกและบอกเล่าเรื่องราวของคนสันภู ซึ่งเป็นเสมือนยุ้งข้าว คอยเก็บผลผลิตของฤดูกาลแห่งชีวิต ทั้งของตนและคนแรมทาง เป็นมุมเล็กๆมุมหนึ่งในครัวอักษรา แบ่งปันบางอย่าง ให้ได้อ่านคิดคุย มิได้ โดดเด่นดังดี อะไรดอก แค่ได้บอก เชื้อชวน ให้ขบบ้าง ก็เท่านั้น เพราะเชื่อว่า ถ้ายุ้งข้าวนี้ ทำให้คนได้อ่าน มากกว่าสิ่งที่ได้เขียน ก็คิดว่า ได้ทำหน้าที่อย่างยิ่งใหญ่แล้ว ก่อนที่ ถ้อยคำแห่งการพลัดพรากจะผุดเปล่ง ก่อนบทเพลงสุดท้ายแห่งชีวิตจะบรรเลง ตามกฎธรรมดา ก็เท่านั้น"
วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
สมบูรณ์คน
บอดเป็น จักเห็น
หนวกเป็น จักยินได้
ใบ้เป็น จักสารสื่อเข้าใจ
พร่องอายตนะทั้งหลาย จักกลายสมบูรณ์คน
พิณ คืนเพ็ญ
แม่สะเรียง กล่อมลูกนอน
ชดเชยวันมาฆะบูชา 56
หนวกเป็น จักยินได้
ใบ้เป็น จักสารสื่อเข้าใจ
พร่องอายตนะทั้งหลาย จักกลายสมบูรณ์คน
พิณ คืนเพ็ญ
แม่สะเรียง กล่อมลูกนอน
ชดเชยวันมาฆะบูชา 56
วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
โรงแรมในโรงเรียน
*ที่ผ่านมา....
การศึกษา สอนคน ให้ หางาน แต่ไม่ได้สอน ให้รู้จัก สร้างงาน
สอนให้เป็นนายคน แต่ไม่ได้สอน ให้รู้จัก เป็น นายตน
สอนให้มุ่งทำงาน เพื่อความสำเร็จ แต่ไม่ได้สอน ให้สร้างสุขสำเร็จ จากงานที่ทำ
สอนให้คน เข้าสู่้ภาคเอกชนมุ่งค่าจ้างสูง ๆ รวมภาครัฐบางราย ที่รายได้ดี ๆ และมีเกียรติ
แต่ไม่ได้สอน และสร้างคน ให้มี เกียรติ จากการเป็น ภาคบริการ หรือ ภาคผลิตที่ดี
ทั้งที่รายได้ แทบไม่ต่างกัน แถมมิติอื่นนั้น นับวันทวีความสำคัญและต้องการขึ้นเรื่อยๆ
ที่ผ่านมา เราไม่ปฏิเสธว่า การศึกษาสอน ให้มองผู้อื่น สนใจผู้อื่้น ผ่านมิติ ภายนอก
แต่ไม่ได้สอน ให้รู้จักมองตน สนใจตน เข้าถึง มิติ ภายใน แห่งตนสักเท่าใด.....
คิดว่า......
ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องปลดกระดานดำในห้องลง และใช้ลานกว้างแห่งดอยไพร
สอน วิชาชีวิต ที่ยิ่งใหญ่ให้กับพวกเขา ผ่าน งาน ต่างๆ ที่หลากหลาย
โดยจำลอง ภาคบริการ ต่างๆ ในโรงแรม อาทิ กุ๊ก แม่บ้าน ร้านค้่า กาแฟ บอยรูม ซักรีด นวด หนังสือ นำเที่ยว บัญชี รีเซฟชั่น งานศิลปะ นิทรรศการ และร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ มาตั้งในโรงเรียน เพื่อสอน ให้ทุกคน ได้เรียนรู้ ทักษะอาชีพและการทำงาน ผ่าน งาน ใน ภาคบริการและผลิต ดังกล่าว
ทำแล้ว...
เด็กๆ ได้เรียนรู้ งาน ที่หลากหลาย ทำงานเป็น สร้างงานได้ มีมิติ สุขสำเร็จ จากงานที่ทำ
เน้นการใส่ใจ เพื่อนมนุษย์ เพื่อหลุดเข้าถึง ภายใน แห่งตน ทุกคนเห็นคุณค่าของงานและเกิดโลกทัศน์องค์รวม...
"ทุกหน้าที่ในโรงแรมมีความสำคัญ และความสำเร็จของโรงแรมนั้น จักขาดคนสำคัญในแต่ละหน้าที่ นั้นๆ ไม่ได้"
ผมอยากให้โรงแรมเป็น เวที สำหรับแลกเปลี่ยนทางจิตวิญญาณ ผ่านงานที่เด็กๆ ทำ
โรงแรมแห่งนั้น ก็จะค่อยๆ บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ดี ที่พร้อมจะเติบโต เบ่งบานและงดงาม ทุกหย่อมหญ้าในสังคมต่อไป
นี่คือจุดยืนที่ผมจะทำ ในโรงเรียน ... มันจึงเป็นที่มาของโครงการ โรงแรมในโรงเรียนบ้่านแม่ลิด
ขณะนี้...
เราได้ดำเนินการไปหลายอย่างแล้ว เช่น ก่อสร้างโรงแรม (จำลองเป็นโรงแรม) ได้สอนเด็กๆ ผ่านงานต่างๆ เช่น นวด ถักใย ทอผ้า บริกร ฯลฯ สำหรับรองรับกิจการของโรงแรมต่อไป
![]() |
ภาพทิวทัศน์บริเวณรอบๆ โรงเรียนบ้านแม่ลิด |
![]() |
คณะผู้มาเยือนจากทั่วสารทิศ |
![]() |
กิจกรรมเดินป่า |
![]() |
กลุ่มบริกร ดูแลแขกผู้มาเยือนทั้งด้านอาหาร ที่พัก ฯลฯ ด้วยจิตไมตรี |
![]() |
ไกด์นำเที่ยวป่าดอยปุย |
ครับนี่คือความฝันที่กำลังถักทอ ความฝันที่จำลองโมเดลโรงแรมมาไว้ในโรงเรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ถ้าทุกคนคิดว่า งานทุกอย่างที่ทำ ล้วนมีเป้าหมายอยู่ที่ความสุขและสำเร็จ ความสุขสำเร็จ ที่ตั้งอยู่้บนความเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง....ผมคิดว่า โรงแรม ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว และโรงเรียน ได้ทำให้ทุกคนเข้าถึง ภายในแห่งตนแล้ว เช่นกัน
พิณ คืนเพ็ญ
คืนหนาวปลายกุมภา
ดอยแม่ลิด
*ป.ล.
เหตุที่เขียนขีดและนำมาโพสต์ในที่นี่..ก็เพื่อจะเป็นช่องทางหนึ่ง ในการอธิบายจุดยืนและวิถีคิดของผมให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ หากมีมวลมิตรที่สงสัยก็จะได้เข้าใจในความหมาย ตลอดจนเพื่อเป็นประเด็นแลกเปลี่ยน เรียนรู้ พัฒนาและ สนับสนุนด้านต่างๆ เพื่อความสมดุลต่อกัน ต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ยามเย็น
แลงรำไร ไล้ลูบแสง แยงยอดไม้
ลำลอดใบ ไอฟุ้งฝุ่น กรุ่นภูผา
มวลเด็กน้อย เฮ-ร้องเต้น เล่นกีฬา
ณ ลานหญ้า สนามดอย คล้อยตะวัน
.................................
ฟ้าแต้มค่ำ ย่ำแสง แลงแล้วเน้อ
นกพร่ำเพ้อ ระงมไพร อันใดหนอ
ปีกโบยโบก คืนคอน รัก รังรอ
ที่นกพ้อ เพราะฟ้าค่ำ หรือรังโรย
.................................
พิณ คืนเพ็ญ
แดดยามแลง อันอ่อนนุ่ม แลร้าวลึก
ขีดไปทั่ว เขียนไปเรื่อย ตามประสา
แม่ลิด ค่ายรีเจ็นท์ วันก่อนกลับ
21 ก.พ.56
ลำลอดใบ ไอฟุ้งฝุ่น กรุ่นภูผา
มวลเด็กน้อย เฮ-ร้องเต้น เล่นกีฬา
ณ ลานหญ้า สนามดอย คล้อยตะวัน
.................................
ฟ้าแต้มค่ำ ย่ำแสง แลงแล้วเน้อ
นกพร่ำเพ้อ ระงมไพร อันใดหนอ
ปีกโบยโบก คืนคอน รัก รังรอ
ที่นกพ้อ เพราะฟ้าค่ำ หรือรังโรย
.................................
พิณ คืนเพ็ญ
แดดยามแลง อันอ่อนนุ่ม แลร้าวลึก
ขีดไปทั่ว เขียนไปเรื่อย ตามประสา
แม่ลิด ค่ายรีเจ็นท์ วันก่อนกลับ
21 ก.พ.56
วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ข้อคิด ขบแก่นธรรม
วันนี้ ได้ข้อคิดขบแก่นธรรมดีดี จากกัลยาณมิตรทางเฟส คือคุณ
Dan Skyline
ผมเลยขออนุญาต นำมาแบ่งปัน ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ นะครับ
เราสร้างความดีกับใคร เราก็ดีใจ
ถึงเขาไม่รู้...เราก็รู้...
ในทำนองเดียวกัน การทำความชั่ว
ถึงเขาไม่รู้...เราก็รู้...
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
เมื่อจิตเราสงบภายในอุปมาเหมือน น้ำสงบ น้ำสงบดีแล้ว
แล้วก็ใส ใสแล้วก็มองเห็น เหตุ มองเห็นผล มองเห็นบุญกุศล มองเห็นสุข
มองเห็นทุกข์ มองเห็นดี มองเห็นชั่ว
ทุกๆอย่างอยู่ในใจเราหมด
ทุกๆสิ่งที่เข้ามากระทบจะเกิดที ่ใจเราและก็ ดับลงที่ใจของเรา
จะดีหรือชั่วก็อยู่ที่จิตใจเราเ ป็นตัวกำหนด...นะครับ
รู้ ละ รู้ ...วาง รู้...ว่าง...ที่ดวงจิต นะครับ
ขอให้มีความสุข นัย ทุกๆวันครับ
ขอให้พบความสว่างภายในใจตน
จงปลดปล่อยให้ จิตวิญญาณ กระทำในหน้าที่แห่งตน
จงอย่าให้ สิ่งสมมุติใด มาบดบัง หน้าที่ ที่แท้จริง แห่งจิตตน
วันนี้ ได้ข้อคิดขบแก่นธรรมดีดี จากกัลยาณมิตรทางเฟส คือคุณ
Dan Skyline
ผมเลยขออนุญาต นำมาแบ่งปัน ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ นะครับ
เราสร้างความดีกับใคร เราก็ดีใจ
ถึงเขาไม่รู้...เราก็รู้...
ในทำนองเดียวกัน การทำความชั่ว
ถึงเขาไม่รู้...เราก็รู้...
ถึงเขาไม่รู้...เราก็รู้...
ในทำนองเดียวกัน การทำความชั่ว
ถึงเขาไม่รู้...เราก็รู้...
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
เมื่อจิตเราสงบภายในอุปมาเหมือน น้ำสงบ น้ำสงบดีแล้ว
แล้วก็ใส ใสแล้วก็มองเห็น เหตุ มองเห็นผล มองเห็นบุญกุศล มองเห็นสุข
มองเห็นทุกข์ มองเห็นดี มองเห็นชั่ว
ทุกๆอย่างอยู่ในใจเราหมด
ทุกๆสิ่งที่เข้ามากระทบจะเกิดที ่ใจเราและก็ ดับลงที่ใจของเรา
จะดีหรือชั่วก็อยู่ที่จิตใจเราเ ป็นตัวกำหนด...นะครับ
รู้ ละ รู้ ...วาง รู้...ว่าง...ที่ดวงจิต นะครับ
เมื่อจิตเราสงบภายในอุปมาเหมือน
แล้วก็ใส ใสแล้วก็มองเห็น เหตุ มองเห็นผล มองเห็นบุญกุศล มองเห็นสุข
มองเห็นทุกข์ มองเห็นดี มองเห็นชั่ว
ทุกๆอย่างอยู่ในใจเราหมด
ทุกๆสิ่งที่เข้ามากระทบจะเกิดที
จะดีหรือชั่วก็อยู่ที่จิตใจเราเ
รู้ ละ รู้ ...วาง รู้...ว่าง...ที่ดวงจิต นะครับ
ขอให้มีความสุข นัย ทุกๆวันครับ
ขอให้พบความสว่างภายในใจตน
จงปลดปล่อยให้ จิตวิญญาณ กระทำในหน้าที่แห่งตน
จงอย่าให้ สิ่งสมมุติใด มาบดบัง หน้าที่ ที่แท้จริง แห่งจิตตน
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
เสียงจากยอดดอย
ผมมีความสุขทุกครั้ง ที่รถของตนเบนหน้า หันทิศขึ้นสู่ดอยสูง มันเป็นความสุข แบบซื่อ ๆ เรียบง่าย งดงาม ร่มเย็น และไม่ต้องการคำอธิบายอะไรมากนัก สิบกว่าปี ที่คลุกคลีอยู่สันภู ได้กระเทาะ กระทบ ขบ กระแทก เปลือกหุ้มร่างจิตวิญญาณอันอ่วมอวม จนค้นพบตัวตนที่แท้จริง ....ตัวตนที่แทบจะหา อะไรไม่เจอ .....ตัวตนที่แทบจะยึดมั่นอะไร มิได้
ผมยังจำคำถาม ท้าทายปนห่วงใย จากเพื่อนผู้อยู่ไกล คราวันจากรังนอน ก่อนจรสู่สันภู ได้ดีว่า
"มึงสิไปเป็นครูดอยบ่ มันลำบากหลายเด้อ เคยเบิ่งบ่ หนังเรื่อง ครูบ้านนอกฮั่น จั่งซั้นหละ เบิ่งเอา"
ผมยังจำ ข้อคิดจากครูอาจารย์ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง ได้ดีว่า
"เราคิดดีรึยัง ถ้าคิดดีแล้ว ก็ทำ ทำตามสิ่งที่คิด ผลเป็นอย่างไร ต้องยอมรับได้นะ เพราะได้คิดดีแล้ว "
วันเวลา ที่ผ่านมา มันเป็นกระดานดำผืนใหญ่ ให้ผมได้ขีดเขียน ประสบการณ์ตนเอง ในทุกๆ มิติ ทั้งสุข ทุกข์ เฉย คละเคล้ากันไป เยี่ยงปุถุชนวิสัย บนดอยไพรแห่งนี้
บางคราวก็ เหิม หาญ กล้า ไล่ล่า ไขว่คว้า ความสำเร็จมาครอบครอง เพียงเพื่อจะลองชิม ลิ้มรส สนองอำนาจภายใน บางอย่าง
บางคราวก็รีบร้อน เร่งเร้า รวบรัด อยากมี อยากได้ อะไรสักอย่าง ชั่วขณะอึดใจ ดุจลมไหวใบไม้ติง ก็ไม่ปาน
บางคราว ก็เชื่องช้า อืดอาด ดุจเป็ดนวยนาด ปีนสันภู
บางคราวก็ อยากเดินหลีกหนีผู้คน ขึ้นไปอยู่ยอดดอยปุย สูงโน้น อย่างเดียวดาย
บางคราวก็ ปรารถนาให้เป็น เช่นนั้น เช่นนี้
บางคราวก็ ไม่อยากให้เป็น เช่นนั้น เช่นนี้
ฯลฯ
คลื่นความคิด ความอยาก เลื่อนไหลไม่นิ่งนาน จับยึดเป็นแก่นสาร ไม่ได้ จริงๆ
อยู่บนดอยสูง หลายอย่างเป็น ปรโตโฆสะ เอื้อให้เกิดการขบคิดแก่นธรรม นาฬิกาบนดอย
ก็เดินช้า เมื่อเดินช้า ก็ทำให้ มีเวลาได้ทบทวนตนเองมากขึ้น มีเวลาได้ใช้ โยนิโสมนสิการ มากขึ้น อย่างน้อยก็ได้ถามว่า จะเดินสู่หนไหน เดินทำไม เดินอย่างไร เดินแล้วได้อะไร และไม่เดินได้ไหม ข้อคิดขบแก่นธรรม เหล่านี้ มันกระตุกต่อมจิตวิญญาณ ภายในของตัวเรา ได้ดียิ่ง
ขุนเขาจึงเป็นคุณครู หมอกภูจึงเป็นอาจารย์ แมกไม้และสายธาร เป็นกระดานเรียน วิชาชีวิต ให้รู้จักเพ่งพิจ อยู่กับตน มองย้อนเข้าไปภายในมากๆ ใช้ตาในแห่งตน มองตนให้มากๆ ได้เห็น ตน เข้าใจ ตน มากๆ
แม้จะยังไม่แจ่มแจ้งแทงตลอด แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นอันสุดยอด อย่างน้อย ก็คิดได้ว่า
ผู้อื่นมิใช่ ปัญหา ตัวเราต่างหาก ที่เป็น ปัญหา
ตัวเราต่างหาก ที่จะเป็น ผู้แก้ปัญหา
และตัวเราต่างหากที่ จะก่อเกิด ปัญญา
แม้ทางบนดอยยาวไกล กันดารไพร ยากลำบาก หากใช้ ปรโตและโยนิโส อย่างเหมาะสม แยบยลแล้ว มันก็ไม่แปลกหรอก ที่เพียงหันหัวรถ ก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว ....สุขที่เห็นถูกนั่นกระมัง....
พิณ คืนเพ็ญ
ท่ามกลางกิจกรรมค่ายฝรั่ง
แดดร้อน ลมนิ่ง แม่ลิดสคูล
19 ก.พ.56
ผมยังจำคำถาม ท้าทายปนห่วงใย จากเพื่อนผู้อยู่ไกล คราวันจากรังนอน ก่อนจรสู่สันภู ได้ดีว่า
"มึงสิไปเป็นครูดอยบ่ มันลำบากหลายเด้อ เคยเบิ่งบ่ หนังเรื่อง ครูบ้านนอกฮั่น จั่งซั้นหละ เบิ่งเอา"
ผมยังจำ ข้อคิดจากครูอาจารย์ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง ได้ดีว่า
"เราคิดดีรึยัง ถ้าคิดดีแล้ว ก็ทำ ทำตามสิ่งที่คิด ผลเป็นอย่างไร ต้องยอมรับได้นะ เพราะได้คิดดีแล้ว "
วันเวลา ที่ผ่านมา มันเป็นกระดานดำผืนใหญ่ ให้ผมได้ขีดเขียน ประสบการณ์ตนเอง ในทุกๆ มิติ ทั้งสุข ทุกข์ เฉย คละเคล้ากันไป เยี่ยงปุถุชนวิสัย บนดอยไพรแห่งนี้
บางคราวก็ เหิม หาญ กล้า ไล่ล่า ไขว่คว้า ความสำเร็จมาครอบครอง เพียงเพื่อจะลองชิม ลิ้มรส สนองอำนาจภายใน บางอย่าง
บางคราวก็รีบร้อน เร่งเร้า รวบรัด อยากมี อยากได้ อะไรสักอย่าง ชั่วขณะอึดใจ ดุจลมไหวใบไม้ติง ก็ไม่ปาน
บางคราว ก็เชื่องช้า อืดอาด ดุจเป็ดนวยนาด ปีนสันภู
บางคราวก็ อยากเดินหลีกหนีผู้คน ขึ้นไปอยู่ยอดดอยปุย สูงโน้น อย่างเดียวดาย
บางคราวก็ ปรารถนาให้เป็น เช่นนั้น เช่นนี้
บางคราวก็ ไม่อยากให้เป็น เช่นนั้น เช่นนี้
ฯลฯ
คลื่นความคิด ความอยาก เลื่อนไหลไม่นิ่งนาน จับยึดเป็นแก่นสาร ไม่ได้ จริงๆ
อยู่บนดอยสูง หลายอย่างเป็น ปรโตโฆสะ เอื้อให้เกิดการขบคิดแก่นธรรม นาฬิกาบนดอย
ก็เดินช้า เมื่อเดินช้า ก็ทำให้ มีเวลาได้ทบทวนตนเองมากขึ้น มีเวลาได้ใช้ โยนิโสมนสิการ มากขึ้น อย่างน้อยก็ได้ถามว่า จะเดินสู่หนไหน เดินทำไม เดินอย่างไร เดินแล้วได้อะไร และไม่เดินได้ไหม ข้อคิดขบแก่นธรรม เหล่านี้ มันกระตุกต่อมจิตวิญญาณ ภายในของตัวเรา ได้ดียิ่ง
ขุนเขาจึงเป็นคุณครู หมอกภูจึงเป็นอาจารย์ แมกไม้และสายธาร เป็นกระดานเรียน วิชาชีวิต ให้รู้จักเพ่งพิจ อยู่กับตน มองย้อนเข้าไปภายในมากๆ ใช้ตาในแห่งตน มองตนให้มากๆ ได้เห็น ตน เข้าใจ ตน มากๆ
แม้จะยังไม่แจ่มแจ้งแทงตลอด แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นอันสุดยอด อย่างน้อย ก็คิดได้ว่า
ผู้อื่นมิใช่ ปัญหา ตัวเราต่างหาก ที่เป็น ปัญหา
ตัวเราต่างหาก ที่จะเป็น ผู้แก้ปัญหา
และตัวเราต่างหากที่ จะก่อเกิด ปัญญา
แม้ทางบนดอยยาวไกล กันดารไพร ยากลำบาก หากใช้ ปรโตและโยนิโส อย่างเหมาะสม แยบยลแล้ว มันก็ไม่แปลกหรอก ที่เพียงหันหัวรถ ก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว ....สุขที่เห็นถูกนั่นกระมัง....
พิณ คืนเพ็ญ
ท่ามกลางกิจกรรมค่ายฝรั่ง
แดดร้อน ลมนิ่ง แม่ลิดสคูล
19 ก.พ.56
สูงสุดคืนสู่สามัญ
เช้านี้แชร์ คำ และ ภาพ ของพี่น้องทางเฟส อ่านแล้วเตือนตนดีหลาย ประการแรก อยากเก็บไว้ในบล็อกสำหรับการเตือนตน ถึงแม้ว่า วันนี้หลายสิ่ง หลายอย่าง ยังไม่อาจเรีัยกได้ว่า สำเร็จ แต่ก็คิดว่า เป้าหมายเรื่องความสำเร็จ จักยังดำรงอยู่และใฝ่ฝันที่จะไปให้ถึงทุกคราวครั้งที่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ประการที่สอง อยากแบ่งปันให้ พี่น้องอื่นๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับเขาบ้าง ก็เท่านั้น
ขอขอบคุณ คุณ ร้อย8-พัน9 จาก http://www.facebook.com/Roy8Phan9
เรามักจะคิดว่า.."การประสบความสำเร็จสูงสุด"
จะนำความสุขความพอใจมาให้เราอย่างที่สุดเช่นกัน
เราจึงมักก้มหน้าก้มตา..ป่ายปีนภูเขาแห่งความสำเร็จ
เพื่อไขว่คว้าหา..ความ(ที่คิดว่า)สุขนั้น..
หลังจากพิชิตภูเขาได้แล้ว..
ความสุข..ความภูมิใจ..ไหลท่วมหัวใจ..
ยิ่งเป็นภูเขาที่น้อยคนจะพิชิตได้
ก็จะยิ่งเป็นจุดสนใจ
เสียงสรรเสริญแซ่ซร้องดังไปทั่ว
อัตตาเราก็จะพองโตทันที
ว่าเราเก่ง เราเจ๋ง..ไปไหนใครก็จำได้ รู้จัก
แต่หลังจากนั้นล่ะ..
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา..
ไม่มีนักปีนภูเขาคนใด..
จะเหยียบยืนอยู่บนนั้นได้ตลอดไป..
เมื่อถึงเวลากลับลงมาเหยียบยืนบนพื้นดิน
กลับกลายมาเป็น "คนธรรมดา"
ที่ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป..
ตรงนี้แหละ..ที่ยากจะยอมรับกันได้
บางคนที่มีภารกิจยิ่งใหญ่มาก่อน เช่น
การไปเหยียบดวงจันทร์
การกลับมาเป็นคนธรรมดา
ที่เข็นรถตัดหญ้าหน้าบ้านตัวเองไม่ได้เลย
คนเก่งที่พากเพียร
จนบรรลุความสำเร็จสูงสุดในชีวิตนั้นมีมาก
แต่ที่มีน้อยมากก็คือคนที่พร้อมกลับมาเดินดิน
เหมือนคนทั่วไปได้
ทั้งนี้ก็เพราะความสำเร็จนั้นมีเสน่ห์
มันทำให้เราเป็นคนพิเศษที่ไม่เหมือนใคร
จึงทำให้อัตตาพองโต
อัตตานั้นเสพติดความสำเร็จ
โดยเฉพาะเมื่อมันมาพร้อมกับชื่อเสียงเกียรติยศ
จึงทำใจไม่ได้เมื่อต้องเหินห่างจากความสำเร็จนั้น
การขับเคี่ยวให้บรรลุถึงความสำเร็จนั้น
เป็นเรื่องยากก็จริง
แต่ที่ยากกว่าก็คือการเดินลงมาจากความสำเร็จ..
ชื่อเสียง ความสำเร็จ ล้วนเป็นของชั่วคราว
ถ้าใครยึดติดถือมั่นสิ่งเหล่านี้
ย่อมเป็นทุกข์ในที่สุด
เพราะไม่ช้าก็เร็วมันก็จะหลุดจากมือของเขาไป
หาไม่ก็มีคนอื่นแย่งชิงไป
ถ้าไม่อยากทุกข์
ก็ต้องคลายความยึดติดถือมั่น
ระลึกอยู่เสมอว่ามันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน..//~~
ครับ การไล่คว้ากำชัย อาจจะไม่ยาก สักเท่าใด
แต่การเข้าใจ ในสัจธรรมของ ชัย นั้นยากกว่า
และการก้าวข้ามพ้นสัจธรรมของชัย นั้นยากที่สุด
สิ่งยากๆ เหล่านี้ ผมคิดว่า มันเป็นการบ้านของชีวิต ให้เราได้ขบคิด เพื่อพัฒนาตน
พิณ คืนเพ็ญ
แม่ลิดก่อนเข้าแถว เช้าอังคาร
ขอขอบคุณ คุณ ร้อย8-พัน9 จาก http://www.facebook.com/Roy8Phan9
เรามักจะคิดว่า.."การประสบความสำเร็จสูงสุด"
จะนำความสุขความพอใจมาให้เราอย่างที่สุดเช่นกัน
เราจึงมักก้มหน้าก้มตา..ป่ายปีนภูเขาแห่งความสำเร็จ
เพื่อไขว่คว้าหา..ความ(ที่คิดว่า)สุขนั้น..
หลังจากพิชิตภูเขาได้แล้ว..
ความสุข..ความภูมิใจ..ไหลท่วมหัวใจ..
ยิ่งเป็นภูเขาที่น้อยคนจะพิชิตได้
ก็จะยิ่งเป็นจุดสนใจ
เสียงสรรเสริญแซ่ซร้องดังไปทั่ว
อัตตาเราก็จะพองโตทันที
ว่าเราเก่ง เราเจ๋ง..ไปไหนใครก็จำได้ รู้จัก
แต่หลังจากนั้นล่ะ..
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา..
ไม่มีนักปีนภูเขาคนใด..
จะเหยียบยืนอยู่บนนั้นได้ตลอดไป..
เมื่อถึงเวลากลับลงมาเหยียบยืนบนพื้นดิน
กลับกลายมาเป็น "คนธรรมดา"
ที่ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป..
ตรงนี้แหละ..ที่ยากจะยอมรับกันได้
บางคนที่มีภารกิจยิ่งใหญ่มาก่อน เช่น
การไปเหยียบดวงจันทร์
การกลับมาเป็นคนธรรมดา
ที่เข็นรถตัดหญ้าหน้าบ้านตัวเองไม่ได้เลย
คนเก่งที่พากเพียร
จนบรรลุความสำเร็จสูงสุดในชีวิตนั้นมีมาก
แต่ที่มีน้อยมากก็คือคนที่พร้อมกลับมาเดินดิน
เหมือนคนทั่วไปได้
ทั้งนี้ก็เพราะความสำเร็จนั้นมีเสน่ห์
มันทำให้เราเป็นคนพิเศษที่ไม่เหมือนใคร
จึงทำให้อัตตาพองโต
อัตตานั้นเสพติดความสำเร็จ
โดยเฉพาะเมื่อมันมาพร้อมกับชื่อเสียงเกียรติยศ
จึงทำใจไม่ได้เมื่อต้องเหินห่างจากความสำเร็จนั้น
การขับเคี่ยวให้บรรลุถึงความสำเร็จนั้น
เป็นเรื่องยากก็จริง
แต่ที่ยากกว่าก็คือการเดินลงมาจากความสำเร็จ..
ชื่อเสียง ความสำเร็จ ล้วนเป็นของชั่วคราว
ถ้าใครยึดติดถือมั่นสิ่งเหล่านี้
ย่อมเป็นทุกข์ในที่สุด
เพราะไม่ช้าก็เร็วมันก็จะหลุดจากมือของเขาไป
หาไม่ก็มีคนอื่นแย่งชิงไป
ถ้าไม่อยากทุกข์
ก็ต้องคลายความยึดติดถือมั่น
ระลึกอยู่เสมอว่ามันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน..//~~
ครับ การไล่คว้ากำชัย อาจจะไม่ยาก สักเท่าใด
แต่การเข้าใจ ในสัจธรรมของ ชัย นั้นยากกว่า
และการก้าวข้ามพ้นสัจธรรมของชัย นั้นยากที่สุด
สิ่งยากๆ เหล่านี้ ผมคิดว่า มันเป็นการบ้านของชีวิต ให้เราได้ขบคิด เพื่อพัฒนาตน
พิณ คืนเพ็ญ
แม่ลิดก่อนเข้าแถว เช้าอังคาร
วงกลม
คนเราส่วนใหญ่ มักใช้ตัวเอง เป็นตัวตั้ง
เมื่อคิดว่า ตนคือตัวตั้ง จักมองสรรพสิ่ง สู่ภายนอกเสมอ
ธรรมชาติของการมองสู่ภายนอกนั้น จักเห็นผู้อื่นและมักไม่เห็นตน
แลทุกครั้งที่มอง จะเกิดการขยายพื้นที่ความเป็นตัวกู แผ่ครอบไปสู่พื้นที่โดยรอบ
คิดไปแล้วก็คล้าย ๆ กับวงกลม ที่มีตัวเราเป็นจุดศูนย์กลาง
ยิ่งคิดว่าจุดศูนย์กลางสำคัญเท่าใด จะยิ่งขยายจุดให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จุดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะโตแทนและทับพื้นที่อื่นๆ ในวงให้เหลือน้อยลง
ในที่สุดแล้ว จุดศูนย์กลาง ก็จะกลายเป็นวงกลมเสียเอง
วงกลมที่ดี จุดศูนย์กลางต้องเล็กที่สุด มองไม่เห็นด้วยตา ได้ยิ่งดี แต่ทั้งนี้ ต้องรับรู้ด้วยสามัญสำนึก ว่า ยังมีและดำรงอยู่ เหตุที่ต้องให้เล็กเช่นนั้น ก็เพื่อว่า จะได้มีพื้นที่ให้ส่วนประกอบอื่นในวง ได้ดำรงอยู่ และทำหน้าที่ของมันเช่นกัน นั่นแหละ จึงจะนับได้ว่า เป็นวงกลมที่สมบูรณ์และงดงาม
หยุดการมองและพิพากษาผู้อื่น แต่กลับย้อนเพ่งพิจ พัฒนาตน ให้มากๆ ลดตัวกูให้เล็ก และสลัดจุดยึดมั่นให้หลุดหาย หลุดหายจากจุดตรึง ยึด เหนี่ยว หลุดหายจากจุดศูนย์กลางวงกลมของชีวิต เพื่อก้าวพ้นสู่อิสราภาพจากบ่วงพันธนา
พิณ คืนเพ็ญ
แม่ลิด เดินดอยชมป่า
ค้นหาจิตวิญญาณ
เมื่อคิดว่า ตนคือตัวตั้ง จักมองสรรพสิ่ง สู่ภายนอกเสมอ
ธรรมชาติของการมองสู่ภายนอกนั้น จักเห็นผู้อื่นและมักไม่เห็นตน
แลทุกครั้งที่มอง จะเกิดการขยายพื้นที่ความเป็นตัวกู แผ่ครอบไปสู่พื้นที่โดยรอบ
คิดไปแล้วก็คล้าย ๆ กับวงกลม ที่มีตัวเราเป็นจุดศูนย์กลาง
ยิ่งคิดว่าจุดศูนย์กลางสำคัญเท่าใด จะยิ่งขยายจุดให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จุดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะโตแทนและทับพื้นที่อื่นๆ ในวงให้เหลือน้อยลง
ในที่สุดแล้ว จุดศูนย์กลาง ก็จะกลายเป็นวงกลมเสียเอง
วงกลมที่ดี จุดศูนย์กลางต้องเล็กที่สุด มองไม่เห็นด้วยตา ได้ยิ่งดี แต่ทั้งนี้ ต้องรับรู้ด้วยสามัญสำนึก ว่า ยังมีและดำรงอยู่ เหตุที่ต้องให้เล็กเช่นนั้น ก็เพื่อว่า จะได้มีพื้นที่ให้ส่วนประกอบอื่นในวง ได้ดำรงอยู่ และทำหน้าที่ของมันเช่นกัน นั่นแหละ จึงจะนับได้ว่า เป็นวงกลมที่สมบูรณ์และงดงาม
หยุดการมองและพิพากษาผู้อื่น แต่กลับย้อนเพ่งพิจ พัฒนาตน ให้มากๆ ลดตัวกูให้เล็ก และสลัดจุดยึดมั่นให้หลุดหาย หลุดหายจากจุดตรึง ยึด เหนี่ยว หลุดหายจากจุดศูนย์กลางวงกลมของชีวิต เพื่อก้าวพ้นสู่อิสราภาพจากบ่วงพันธนา
พิณ คืนเพ็ญ
แม่ลิด เดินดอยชมป่า
ค้นหาจิตวิญญาณ
วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ตานอก ตาใน
อากาศเย็นเยืิอกหนาว
ดอยสูงเงียบสงัด
ฟ้าค่ำมืดสนิท
ดาวแจ่มแสงประกายใส
หมาน้อย นอนตากหมอก เกลื่อนลาน
ดึกเยี่ยงนี้ ทั้งที่ร่างกายก็อ่อนล้า ถวิลหาฟูกหมอน แต่หัวค่ำ
ใยยัง ห่มหมอกและหยอกดาว
ใยยัง ไล่เขี่ยคุ้ย ความวุ่นวาย มิคลายวาง
ใยยัง ย่อโลกกว้าง ให้เล็ก สุกใส วาวงาม มิไ้ด้สักที
ปิดตานอก จักมองเห็นถึงตาใน
พิณ คืนเพ็ญ
ดอยสูงเงียบสงัด
ฟ้าค่ำมืดสนิท
ดาวแจ่มแสงประกายใส
หมาน้อย นอนตากหมอก เกลื่อนลาน
ดึกเยี่ยงนี้ ทั้งที่ร่างกายก็อ่อนล้า ถวิลหาฟูกหมอน แต่หัวค่ำ
ใยยัง ห่มหมอกและหยอกดาว
ใยยัง ไล่เขี่ยคุ้ย ความวุ่นวาย มิคลายวาง
ใยยัง ย่อโลกกว้าง ให้เล็ก สุกใส วาวงาม มิไ้ด้สักที
ปิดตานอก จักมองเห็นถึงตาใน
พิณ คืนเพ็ญ
อาคาร "เติมฝันเพื่อวันใส 1"
8 กุมภาพันธ์ 56 โรงเรียนบ้านแม่ลิด ได้เข้าร่วมพิธีเปิดและรับมอบอาคาร “เติมฝันเพื่อวันใส 1” ของโรงเรียนบ้านห้วยวอก ต.กองก๋อย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน จากบริษัทแพนดอร่า
โพรดักชั่น จำกัด โดยมีนายทวนทอง ศรีสวัสดิ์ รอง ผอ. รักษาราชการแทน ผอ.
สพป.แม่ฮ่องสอน เขต 2 เป็นประธานในพิธีรับมอบ
ทางโรงเรียนบ้านแม่ลิด ต้องขอขอบพระคุณ บริษัทแพนดอร่า โพรดักชั่นจำกัด (คุณวินิตย์ วาปี และคณะผู้ประสาน) ที่ให้การสนัีบสนุนทางการศึกษาแก่โรงเรียนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ต่อจาก โรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ เมื่อปี 2553 และทางบริษัทยังได้ให้การสนับสนุนโรงเรียนบ้านแม่ลิด เป็นทุนการศึกษา สำหรับโครงการอาหารกลางวันและส่งเสริมทักษะอาชีพนักเรียน
จึงขอขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้ครับ
ทางโรงเรียนบ้านแม่ลิด ต้องขอขอบพระคุณ บริษัทแพนดอร่า โพรดักชั่นจำกัด (คุณวินิตย์ วาปี และคณะผู้ประสาน) ที่ให้การสนัีบสนุนทางการศึกษาแก่โรงเรียนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ต่อจาก โรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ เมื่อปี 2553 และทางบริษัทยังได้ให้การสนับสนุนโรงเรียนบ้านแม่ลิด เป็นทุนการศึกษา สำหรับโครงการอาหารกลางวันและส่งเสริมทักษะอาชีพนักเรียน
จึงขอขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้ครับ
อบรมการบริหารงบประมาณ
โครงการการอบรมการบริหารงบประมาณ งบลงทุน โดยกลุ่มนโยบายและแผน เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษามีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารงบลงทุน สามารถขับเคลื่อนนโยบายและแนวทางการดำเนินสู่การปฏิบัติจริง ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ณ อาคารอเนกประสงค์ โรงเรียนทองสวัสดิ์วิทยาคาร อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
เปิดใจ
เปิดใจ ปล่อยวาง คือหนทางสู่ความสุขสงบ
เรารบกับอะไร ไม่สู้เท่า การสู้รบกับใจ ที่ปราศจากสติ
รบกับผู้อื่น หมื่นแสน หาได้ร้อนแรงร้ายเท่า รบกับกิเลสในใจเรา
หมั่นปลอกเปลือก หมั่นกระเทาะตน หมั่นเพ่งพิจ ตรวจสอบ ข้อผิดพลาดของตนเอง แล้วปรับปรุงแก้ไข
สู่การปล่อยวาง พันธนาการที่รัดรึง จักเห็นแสงรำไรที่ไปถึง ความสุขที่เข้าถึงจริงๆ
แม่ลิด
รับแขกนานาชาติ
เรารบกับอะไร ไม่สู้เท่า การสู้รบกับใจ ที่ปราศจากสติ
รบกับผู้อื่น หมื่นแสน หาได้ร้อนแรงร้ายเท่า รบกับกิเลสในใจเรา
หมั่นปลอกเปลือก หมั่นกระเทาะตน หมั่นเพ่งพิจ ตรวจสอบ ข้อผิดพลาดของตนเอง แล้วปรับปรุงแก้ไข
สู่การปล่อยวาง พันธนาการที่รัดรึง จักเห็นแสงรำไรที่ไปถึง ความสุขที่เข้าถึงจริงๆ
แม่ลิด
รับแขกนานาชาติ
วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ความสำเร็จกับความสุข
วันหยุดวันนี้ ผมชอบและมีความสุขมากๆ เริ่มจากตื่นนอน นั่งคุยกับเด็กนักเรียนพักนอนที่โรงเรียน แล้วพาพวกเขาทำความสะอาดบริเวณ รดน้ำดอกไม้ รดน้ำต้นไม้ รดน้ำผักต่างๆที่ปลูกไว้ แถมปลูกเพิ่มเติมอีกอย่าง คัดแยกขยะเพื่อนำไปขาย ปัดกวาดเช็ดถู ตรงนั้น ตรงนี้บ้าง ซึ่งเป็นงานง่ายๆ แต่ทำแล้วมีัความสุขอย่างบอกไม่ถูก เป็นงานเล็กๆ แต่ขยายเป็นชิ้นใหญ่ งานโตได้ อย่างอัศจรรย์
ว่าไปแล้ว คนเราทุกวันนี้ มักแยกความสุขกับการทำงานออกจากกัน เห็นได้จาก บางคนพอเลิกงานก็บอกเป็นเวลาเริ่มต้นของความสุข บางคนพอวันหยุดก็บอกเป็นเวลาสิ้นสุดของความทุกข์ที่รัดรึงและเป็นการเริ่มต้นแห่งการลั้ลลา...อะไรต่างๆ นานา ตามประสา
ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือการลั้ลลานอกเวลาทำงาน ดังที่่ว่านั้น มันย่อมสะท้อนโลกทัศน์ของคนทำงานในยุคสมัย ได้ว่า ความสุขกับงานที่เขาทำนั้น มีเส้นกั้น ขีดแบ่ง กันอยู่ ซึ่งอาจเกิดจากหลายเหตุปัจจัย อาทิ งานที่ทำไม่อาจเป็นเหตุให้เกิดความสุขได้ หนึ่ง หรือเขาไม่อาจสร้างสุขจากการทำงานได้ หนึ่ง
โดยส่วนตัวแล้ว สิ่งสำคัญของการทำงาน คือ การมุ่งความสำเร็จดังเป้าที่ตั้งไว้ แต่สิ่งยิ่งใหญ่คือต้องได้รับความสุขจากการทำงานนั้นด้วย
จะมีความหมายใด หากความสำเร็จมีมากมาย แต่ตั้งอยู่ได้บนซากกองของความทุกข์ทน
จะมีความหมายใด ที่ผลงานสำเร็จ แต่ปลอดเงาเม็ดของความสุขติดตามกาย
นั่งคิด ตรึกตรองได้ความสัมพันธ์พื้นฐาน ของงาน ความสุข และความสำเร็จ ดังนี้
1 งาน = สำเร็จ
2 งาน = สุข
3 งาน = สุข+สำเร็จ
เห็นได้ว่างาน มีตัวชี้วัด เป้าหมาย คือความสำเร็จ หากไ่ม่สำเร็จ แสดงว่า สิ่งที่ทำนั้นยังไม่บรรลุ (1)
ในขณะที่ งาน ก็ต้่องเป็นเหตุ ปัจจัย ให้เกิดสุข ผู้ทำงานเอง ก็ต้องรู้จักสร้างสุขจากการทำงานได้เช่นกัน (2)
โดยพื้นฐาน ทั่วไป เรารับรู้และเข้าใจ ว่างานที่ทำต้องสำเร็จ (งาน= สำเร็จ) เพียงฝ่ายเดียว
แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักกับ งานที่ทำ ต้องสร้างสุข สักเท่าใดนัก
ในวันที่ความรัดรึงบีบเค้นหัวใจของคนทำงาน วันที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยทุกข์จากภาระงานอันหนักอึ้ง มันสอนให้เราต้องทำความเข้าใจและเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่กับงานแล้วหละ ว่า งาน จะมุ่งความสำเร็จโดยปราศจากความสุขไม่ได้ เพราะไม่ใช่แนวทางสู่ความยั่งยืน รากแขนงหนึ่งของความยั่งยืนในสังคม มาจาก การสร้างสุขจากงานที่ทำ (งาน= สุข) และควรเป็นความสุขที่นำหน้า ความสำเร็จในทุกคราวครั้งที่ลงมือทำอะไรเสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญก็คือ ความสุขและความสำเร็จเป็นหนึ่งเดียวกันที่มีอยู่้ในงาน
หัวใจทั้งหมด จึงอยู่ที่การเห็น การเข้าใจ ธรรมชาติ ทั้งธรรมชาติของงาน และธรรมชาติของจิตไปพร้อมๆ กัน
ใครสามารถทำให้ งาน พบสุข พร้อมๆกับความสำเร็จ ได้ นับว่า ผู้นั้นเข้าใจในธรรมชาติทั้งของงานและธรรมชาติของจิตอย่างเหมาะสมและลงตัว ถือเป็นผู้ที่มีความชาญฉลาด ในการใช้ และเข้าถึงชีวิต
ครับโดยส่วนตัวผมเอง ก็สามารถทำได้ ตาม 1 บ้าง ตาม 2 บ้าง ตาม 3 บ้าง แต่พูดก็พูด ยังไม่ยั่งยืน บางทีก็ผีเข้าผีออก ซ้ำร้ายไม่ได้สักอย่าง ก็ยังมี
แต่อย่างไรก็ตาม ...ตราบที่ยังมีลมหายใจ ยังต้องหมั่น ฝึก ฝน พัฒนาตน ทำให้ได้ทั้ง 3 ข้อ และทำให้ ข้อ 3 เกิดความยั่งยืน ให้ได้
นับจากนี้ ไม่มีเหตุผล หรือข้ออ้างอื่นใด นอกจาก พยายาม พยายาม เพื่้อสร้างสุขจากการทำงาน สร้างสุขจากชีวิต และสร้างสุขจากทุกข์ระทมขมขื่น ให้เกิดจงได้ เพราะนั่น คือ ยอดคนหล่ะ
อยากเป็นยอดคนมั๊ย อยากเป็นก็ต้องพยายาม
พิณ คืนเพ็ญ
เช้าอาทิตย์ ให้กำลังใจตนเอง ดูตนเอง พัฒนาตนเอง
แม่ลิดแดดอุ่น
10 ก.พ. 56
ว่าไปแล้ว คนเราทุกวันนี้ มักแยกความสุขกับการทำงานออกจากกัน เห็นได้จาก บางคนพอเลิกงานก็บอกเป็นเวลาเริ่มต้นของความสุข บางคนพอวันหยุดก็บอกเป็นเวลาสิ้นสุดของความทุกข์ที่รัดรึงและเป็นการเริ่มต้นแห่งการลั้ลลา...อะไรต่างๆ นานา ตามประสา
ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือการลั้ลลานอกเวลาทำงาน ดังที่่ว่านั้น มันย่อมสะท้อนโลกทัศน์ของคนทำงานในยุคสมัย ได้ว่า ความสุขกับงานที่เขาทำนั้น มีเส้นกั้น ขีดแบ่ง กันอยู่ ซึ่งอาจเกิดจากหลายเหตุปัจจัย อาทิ งานที่ทำไม่อาจเป็นเหตุให้เกิดความสุขได้ หนึ่ง หรือเขาไม่อาจสร้างสุขจากการทำงานได้ หนึ่ง
โดยส่วนตัวแล้ว สิ่งสำคัญของการทำงาน คือ การมุ่งความสำเร็จดังเป้าที่ตั้งไว้ แต่สิ่งยิ่งใหญ่คือต้องได้รับความสุขจากการทำงานนั้นด้วย
จะมีความหมายใด หากความสำเร็จมีมากมาย แต่ตั้งอยู่ได้บนซากกองของความทุกข์ทน
จะมีความหมายใด ที่ผลงานสำเร็จ แต่ปลอดเงาเม็ดของความสุขติดตามกาย
นั่งคิด ตรึกตรองได้ความสัมพันธ์พื้นฐาน ของงาน ความสุข และความสำเร็จ ดังนี้
1 งาน = สำเร็จ
2 งาน = สุข
3 งาน = สุข+สำเร็จ
เห็นได้ว่างาน มีตัวชี้วัด เป้าหมาย คือความสำเร็จ หากไ่ม่สำเร็จ แสดงว่า สิ่งที่ทำนั้นยังไม่บรรลุ (1)
ในขณะที่ งาน ก็ต้่องเป็นเหตุ ปัจจัย ให้เกิดสุข ผู้ทำงานเอง ก็ต้องรู้จักสร้างสุขจากการทำงานได้เช่นกัน (2)
โดยพื้นฐาน ทั่วไป เรารับรู้และเข้าใจ ว่างานที่ทำต้องสำเร็จ (งาน= สำเร็จ) เพียงฝ่ายเดียว
แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักกับ งานที่ทำ ต้องสร้างสุข สักเท่าใดนัก
ในวันที่ความรัดรึงบีบเค้นหัวใจของคนทำงาน วันที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยทุกข์จากภาระงานอันหนักอึ้ง มันสอนให้เราต้องทำความเข้าใจและเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่กับงานแล้วหละ ว่า งาน จะมุ่งความสำเร็จโดยปราศจากความสุขไม่ได้ เพราะไม่ใช่แนวทางสู่ความยั่งยืน รากแขนงหนึ่งของความยั่งยืนในสังคม มาจาก การสร้างสุขจากงานที่ทำ (งาน= สุข) และควรเป็นความสุขที่นำหน้า ความสำเร็จในทุกคราวครั้งที่ลงมือทำอะไรเสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญก็คือ ความสุขและความสำเร็จเป็นหนึ่งเดียวกันที่มีอยู่้ในงาน
หัวใจทั้งหมด จึงอยู่ที่การเห็น การเข้าใจ ธรรมชาติ ทั้งธรรมชาติของงาน และธรรมชาติของจิตไปพร้อมๆ กัน
ใครสามารถทำให้ งาน พบสุข พร้อมๆกับความสำเร็จ ได้ นับว่า ผู้นั้นเข้าใจในธรรมชาติทั้งของงานและธรรมชาติของจิตอย่างเหมาะสมและลงตัว ถือเป็นผู้ที่มีความชาญฉลาด ในการใช้ และเข้าถึงชีวิต
ครับโดยส่วนตัวผมเอง ก็สามารถทำได้ ตาม 1 บ้าง ตาม 2 บ้าง ตาม 3 บ้าง แต่พูดก็พูด ยังไม่ยั่งยืน บางทีก็ผีเข้าผีออก ซ้ำร้ายไม่ได้สักอย่าง ก็ยังมี
แต่อย่างไรก็ตาม ...ตราบที่ยังมีลมหายใจ ยังต้องหมั่น ฝึก ฝน พัฒนาตน ทำให้ได้ทั้ง 3 ข้อ และทำให้ ข้อ 3 เกิดความยั่งยืน ให้ได้
นับจากนี้ ไม่มีเหตุผล หรือข้ออ้างอื่นใด นอกจาก พยายาม พยายาม เพื่้อสร้างสุขจากการทำงาน สร้างสุขจากชีวิต และสร้างสุขจากทุกข์ระทมขมขื่น ให้เกิดจงได้ เพราะนั่น คือ ยอดคนหล่ะ
อยากเป็นยอดคนมั๊ย อยากเป็นก็ต้องพยายาม
พิณ คืนเพ็ญ
เช้าอาทิตย์ ให้กำลังใจตนเอง ดูตนเอง พัฒนาตนเอง
แม่ลิดแดดอุ่น
10 ก.พ. 56
วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
เวลาชีวิต อยู่ที่คิด ที่จะมอง
ยามเช้า...อันสดใส เยือกเย็น เรียบง่าย ท่ามเทือกภู
ยามสาย..อันอบอุ่น ละมุน อุ่นอิงจากแดดอ่อน
ยามเที่ยง..อันกล้าแกร่ง เข้มแข็ง รับพลังแรงของชีวิต...จากตะวัน
ยามบ่าย...อันเชื่องช้า รับลมเย็นโชยกายา เพิ่มคุณค่าพินิจชีวิต จากลมภู
ยามเย็น... ส่งตะวันกลับฟ้า รับเดือนดารา มาประโลมโลก งดงาม งดงาม
ยามค่ำ... มืดมิดหนทางเท้าและดวงตา แต่อาศัยจันทร์ดารา มองเห็นข้างใน เข้าถึงตน
ยามดึก...เงียบเสียงผู้คนและหมาน้อย ยิ้มให้ดาริกาบนฟ้ากว้าง...ล่ำลา แล้วหลับฝัน
ชีิวิตคนเรามันมีเท่านี้ มีเท่านี้ อยู่ที่จะเห็น อยู่ที่จะเข้าใจในสรรพสิ่้ง มองมากๆ เข้าใจมากๆ สักวันคงเข้าถึง ธรรม ได้มากๆ เช่นกัน
พิณ คืนเพ็ญ
ยามเช้าแม่ลิด
ยามสาย..อันอบอุ่น ละมุน อุ่นอิงจากแดดอ่อน
ยามเที่ยง..อันกล้าแกร่ง เข้มแข็ง รับพลังแรงของชีวิต...จากตะวัน
ยามบ่าย...อันเชื่องช้า รับลมเย็นโชยกายา เพิ่มคุณค่าพินิจชีวิต จากลมภู
ยามเย็น... ส่งตะวันกลับฟ้า รับเดือนดารา มาประโลมโลก งดงาม งดงาม
ยามค่ำ... มืดมิดหนทางเท้าและดวงตา แต่อาศัยจันทร์ดารา มองเห็นข้างใน เข้าถึงตน
ยามดึก...เงียบเสียงผู้คนและหมาน้อย ยิ้มให้ดาริกาบนฟ้ากว้าง...ล่ำลา แล้วหลับฝัน
ชีิวิตคนเรามันมีเท่านี้ มีเท่านี้ อยู่ที่จะเห็น อยู่ที่จะเข้าใจในสรรพสิ่้ง มองมากๆ เข้าใจมากๆ สักวันคงเข้าถึง ธรรม ได้มากๆ เช่นกัน
พิณ คืนเพ็ญ
ยามเช้าแม่ลิด
วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
จินตนาการเด็กที่ไม่เด็ก
ณ ร้านกาแฟ ไอศครีม อินเตอร์เน็ต บรรยากา่ศและวิวงามๆ หน้าถ้ำแม่สะเรียง สองพ่อลูกกินไอติม และกาแฟอย่างโอชา ลูกสาวเอื้อนถามพ่อ แบบท้าท้ายว่า
ลูก : พ่อจ๋า พ่อจ๋า อยากขึ้นไปดอยนู้นไหม?
ลูกถามพลางชี้มือไปที่ไหล่ดอยอีกฟาก ที่ที่ไม้เขียวรกครึ้ม หยัดต้น เอนใบ ริมผาสูงชัน
พ่อ : ไปทำไมหล่ะลูก
ผู้พ่อ ถามกลับแบบงงๆ เพราะนอกจากจะชันสูงแล้ว ยังคิดไม่ออกว่า จะไปทำอะไรที่นั่น ระหว่างที่คิดแบบงงๆ นั้น ลูกก็จี้คำถาม เพื่อรบเร้าคำตอบ...อีกครั้ง
ลูก : พ่อ อยากไปไหม?
พ่อ : จะไปยังไงหล่ะลูก
ผู้่พ่อถามกลับแบบกึ่งผ่านกึ่งอยากรู้
ลูก : อ๋อ...อ้อ.. เราก็ีใส่ปีก อย่างนางฟ้า แล้วก็บินไปงั๊ย ง่ายนิดเดียว พร้อมๆ กับรอยยิ้่มแก้มป่อง
พ่อ : อืมมมม
ครับ ....บางทีด้วย วัย เวลา หน้าที่ ที่นอกจากจะสั่งสมประสบการณ์ด้านบวกให้กับเราแล้ว สิ่งหนึ่งของด้านกลับ ก็คือว่า มันได้ทำลายความสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ โผล่ขึ้นมาอีกด้านนึง เช่นกัน
....เพราะพันธนาการที่หนักอึ้ง สอนให้ผู้ใหญ่ ปกป้องตนเอง ขณะที่วัยบางอ่อน เยี่ยงเด็กๆ นั้น คิดสร้างสรรค์และข้ามพ้นกรอบแข็งทื่อ ไปได้
ถ้าผู้ใหญ่อย่างพวกเรา รู้จักเลือกที่จะเป็นเด็กบ้างในบางครั้ง ก็จะได้อะไรดีๆ อีกมากเลยนะครับ
พิณ คืนเพ็ญ
ลูก : พ่อจ๋า พ่อจ๋า อยากขึ้นไปดอยนู้นไหม?
ลูกถามพลางชี้มือไปที่ไหล่ดอยอีกฟาก ที่ที่ไม้เขียวรกครึ้ม หยัดต้น เอนใบ ริมผาสูงชัน
พ่อ : ไปทำไมหล่ะลูก
ผู้พ่อ ถามกลับแบบงงๆ เพราะนอกจากจะชันสูงแล้ว ยังคิดไม่ออกว่า จะไปทำอะไรที่นั่น ระหว่างที่คิดแบบงงๆ นั้น ลูกก็จี้คำถาม เพื่อรบเร้าคำตอบ...อีกครั้ง
ลูก : พ่อ อยากไปไหม?
พ่อ : จะไปยังไงหล่ะลูก
ผู้่พ่อถามกลับแบบกึ่งผ่านกึ่งอยากรู้
ลูก : อ๋อ...อ้อ.. เราก็ีใส่ปีก อย่างนางฟ้า แล้วก็บินไปงั๊ย ง่ายนิดเดียว พร้อมๆ กับรอยยิ้่มแก้มป่อง
พ่อ : อืมมมม
ครับ ....บางทีด้วย วัย เวลา หน้าที่ ที่นอกจากจะสั่งสมประสบการณ์ด้านบวกให้กับเราแล้ว สิ่งหนึ่งของด้านกลับ ก็คือว่า มันได้ทำลายความสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ โผล่ขึ้นมาอีกด้านนึง เช่นกัน
....เพราะพันธนาการที่หนักอึ้ง สอนให้ผู้ใหญ่ ปกป้องตนเอง ขณะที่วัยบางอ่อน เยี่ยงเด็กๆ นั้น คิดสร้างสรรค์และข้ามพ้นกรอบแข็งทื่อ ไปได้
ถ้าผู้ใหญ่อย่างพวกเรา รู้จักเลือกที่จะเป็นเด็กบ้างในบางครั้ง ก็จะได้อะไรดีๆ อีกมากเลยนะครับ
พิณ คืนเพ็ญ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)