วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หินก้อนสุดท้าย

.........หากชีวิตแบ่งได้เป็นสี่ด้าน ....งาน ...ส่วนตัว ...ครอบครัว และมวลชน .....  เขาพบว่า ห้าหกปีที่ผ่านมา พื้นที่สามในสี่ทุ่มเทไปกับงานอย่างสุดกำลัง และครึ่งหนึ่งของส่วนที่เหลือ แรเงาให้มวลชน เศษจากนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวและครอบครัวตามลำดับ แม้จะเอียงไปข้างหนึ่งจนสุดโต่ง แต่ก็เป็นความเต็มใจ พอใจ ในการแบ่งเช่นนั้นของเขาเอง....

........โบราณบอกไว้ว่า ช่วงวัยสามสิบต้นๆ คนเราทำงานยังกะฟ้าผ่า ขยันขันแข็ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เด็ดเดี่ยว ดุดัน ทุ่มเทและตะเกียกตะกาย ไปให้ถึงธงหมายเป็นสำคัญ ข้อจำกัด อุปสรรค ไม่เคยมีในหัว คำว่า เหนื่อย ท้อ ล้า สะกดไม่เป็น และไม่เคยหลุดออกมาให้เห็นความอ่อนแอภายใน แม้หากจะมีใครสักคน บ่นให้ได้ยิน คนเหล่านั้น จะถูกพิพากษาว่า เหลาะแหละ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทั้งที่ในความเป็นจริง เขาเหล่านั้น หาเป็นเช่นนั้นเสมอไปไม่
....... มันก็จริงอยู่ เขาอาจจะเป็นคนคนหนึ่ง ที่มีพลังและโอกาสในการสร้างสรรค์งาน ให้ประสบความสำเร็จได้มาก ...บางครั้งอาจมากกว่าหลายๆคน เสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ลืมไปว่า เงื่อนไขความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้น มันซับซ้อน มากมายเช่นกัน .....มากจน มิควรที่จะแบกธงสำเร็จของงานนั้น ไว้ในหัวแต่เพียงผู้เดียว ราวกับว่าโลกใบนี้ จะเหลือตนเป็นคนสุดท้าย.......

........เขาเรียนรู้ว่า ในเมื่อยามหนุ่ม ไม่เคยคิดว่าตนจะแก่เฒ่า และในยามอิ่มข้าว ก็ไม่เห็นความหมายของอาหารมื้อต่อไป ตาลายหิวอยากอีกครั้ง จึ่งคิดได้ว่า จะกินอะไรดีหนอ..... ที่ผ่านมา เขาเป็นอย่างนี้ จริงๆ และต่อเมื่อยามพบพานมรสุมชีวิต ทั้งเรื่องส่วนตัว และครอบครัว เขาจึ่งรู้ว่า การจัดสรรปันส่วนชีวิตที่ผ่านมานั้น ไม่น่าจะเป็นธรรม.....
......การมุ่งมั่น อุทิศให้พื้นที่งาน ชนิดหามรุ่งหามค่ำ สุดโต่ง และมิประมาณกำลังตน นอกจากจะทำให้ร่างกายโทรมทรุด โรยล้าแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วย และมันได้ก่อร่างเงาอัตตา ตัวกู ของกู ขึ้นอย่างเงียบๆ เช่น พองานสำเร็จสักอย่าง ...ก็สร้างความพอใจ ...ทำให้เกิดความเชื่อมั่น ...จนเป็นความหลง ...หลงว่า ข้าทำได้ ...ข้าทำดี ...คนอื่นทำไม่ได้ ...ทำไม่ดี อะไรประมาณนี้ ที่สำคัญที่สุด เขายังถูกโซ่ตรวน ในนามความสำเร็จ ปีนไต่หลอนหลอกและจองจำตลอดเวลา นับเป็นรูปเงาแห่งการถือมั่นที่ชัดเจนที่สุด เช่นกัน ....

........ต่อเมื่อริ้วรอยกาลเวลาเดินผ่านแก้ม และเส้นหงอกแซมหัว ทำให้เขา ได้พบ ได้เรียนรู้ อะไรต่อมิอะไรมากขึ้น รวมถึง เรียนรู้ว่า สมดุลของชีวิต ควรเป็นอย่างไร....?
.........เขานับหนึ่งจากสิ่งเล็กๆ เช่น การหาพื้นที่สงบ สงัดเงียบจากภายนอก เพื่อช่วยจัดระบบโฟลเดอร์ภายในจิตให้เล็กลง ๆ และค่อยๆ สลาย.... การหามุมอ่านหนังสือ หรือสุนทรียสนทนากับบางใครคน สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยเฉลี่ยและเพิ่มพื้นที่ส่วนตน และครอบครัวได้อย่างน่าทึ่งและมีพลัง แม้นอาจตะขิดตะขวง ฝืนขัดกับเจตนาหรือสิ่งเก่าเดิมที่เคยทำมาอยู่บ้าง แต่ก็รับรู้ได้ว่า พันธนาการบนหลังไหล่ ได้ถอดวางลงอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นความเบาสบายใหม่ ที่พบพานอีกแบบหนึ่ง....

......นอกจากนี้ เขายังพบอีกว่า การปลูกต้นไม้ รดน้ำดอก หรือมีกิจกรรมเล็กๆ กับครอบครัว ได้ก่อสุขที่จับต้องได้มากที่เดียว มากจนต่อเมื่อมีโอกาส เป็นต้องรีบสร้าง เพื่อชดเชยวันเวลาที่ผ่านมาทุกครั้งไป 
..... การทำบรรยากาศภายนอกให้พร้อม หาได้ต่างกับการสร้างวัดโบสถ์เพื่อรองรับการบวชภายในของตนไม่ กระนั้นแล้ว หากมีพื้นที่ที่พอทำได้ เขาจะสร้างปรับให้เป็นวิหารแห่งการตื่นรู้ทันที

.......หลายวันก่อน  ช่างจัดสวนคนหนึ่ง ได้เสนอทำน้ำตกหิน ... นัยว่าจะให้มีน้ำไหลซอนผ่านดงเฟิร์น และไม้น้ำ พร้อมๆขับลำนำเสียงแตกฟอง ขณะมรรคารินจ้อกๆ ซ้อนซอกโขดหิน ดุจดนตรีสวรรค์ ที่บรรเลงเพลงเศร้า ซึ้ง ดึงต่อมน้ำตาคนชมต่างเสียงปรบมือ ซึ่งพิจารณาดูแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดต้องปฏิเสธ เขาบอกว่า การจะเป็นสวนสวรรค์ได้ต้องมีวัสดุอุปกรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่ที่จำเป็นใช้ ก็หาได้เกือบครบแล้ว ขาดอย่างเดียว คือ ก้อนหิน จึงเป็นหน้าที่ ที่ต้องเตรียมให้พอพร้อม สำหรับ น้ำตกสวรรค์นั้น ด้วยความเต็มใจ

….."เอาก้อนพอดียกนะ ท่วมกระบะมืด ซักสองลำ น่าจะพอ"  ช่างบอกปนสั่ง ให้เขาตระเตรียม เมื่อหลายวันก่อน

........ก้อนหิน หากเป็นหน้าแล้ง ในลำห้วยลุ่มโรงเรียน ก็พอมี แต่ช่วงนี้น้ำหลาก การเก็บยากลำบาก และเสี่ยงอันตราย

......... อย่างไรก็ตาม เด็กน้อย ได้ช่วยกันเก็บ ก่อนหน้าแล้วบางส่วน แต่มองมุมไหน ก็มิอาจจะท่วมกระบะมืดของรถคันใดได้สักคัน วันนี้ จึงชวนพวกเขาอีกครั้ง ไปยังดอยอีกลูก ซึ่งที่นั่น มีหินสวยๆให้เลือก ขน เก็บ ขึ้นท่วมกระบะมืด ได้จุใจ ......

......กว่าจะเลื่อนล้อพ้นรั้วแม่ลิด จวนเจียนห้าโมงเย็น ฟากดอยทางหน้าโรงเรียน ก่อนนั้นเขียวสด และรกครึ้มด้วยไม้ใหญ่น้อย บัดนี้ ฝอยหมอกยามเย็นได้โรยสาย ห่มห่อ จนเขาทั้งลูกเกือบลับหายใต้ปุยนวล เสียงคุย เอินหยอกแกมเล่นหัวกันของเด็กน้อย ขณะนั่งรถไปขนหิน ได้ยินตลอดทาง ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ก็ถึงจุดหมาย ทุกๆคน ช่วยกัน ขน ยก

"เอาก้อนที่พอยกได้" ขนจนท่วมกระบะมืด และกว่าจะเสร็จ ตะวันก็ลับเหลี่ยมเขาไปสองนานแล้ว

......เกือบสามทุ่ม รถคันเก่งของเขา ได้บรรทุกหินก้อนเขื่อง เต็มลำ หนักรวมสองตันเห็นจะได้ พร้อมด้วยพนักงานอีกหกนาย มุ่งหน้าสู่ที่ที่มันเคยจอด ซึ่งบัดนี้ โรงเรียนได้กลายเป็นเป้าหมาย ทั้งหิน รถ และคนไปแล้ว เนื่องด้วยหินหนักใหญ่ ยามยกราวกับจะหน่วงก้นจนแทบจดพื้น กอปรกับรถที่แก่เฒ่า แรงหายไปตามวันวัย จะให้มีความฮึกทะยานฮ้าว ดังรถรุ่นใหม่ เครื่องแรงจัด ก็คงยาก จึงไม่แปลกที่ขากลับต้องใช้เวลาเกือบสามเท่า ฟังเสียงมันครางอืดอืน ยามติดหล่มและปีนดอย น่าเวทนายิ่งนัก คง ล้า เหนื่อย หนัก เต็มที ดูสิ ยามเลื้อยล้อขึ้นภู ช่างละม้าย ไส้เดือนดิน ที่กระดืบคลานทีละเสี้ยวคืบ เพื่อออกจิบดอกน้ำค้างยามเช้า ลำตัวคลุกหม่นด้วยทราย แดดสายหนีไม่ทัน มันก็รู้ชะตากรรม ว่าจะเป็นอาหารของมด แต่ชั่วโมงนี้ ไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาที สำหรับความท้อแท้ ท้อถอย ...ไป ต้องไปให้ถึงเป้าหมาย ดัชนีบงการในหัวตอกย้ำ ทางธง ตลอดเวลา....

........."หินสวยๆ ทั้งนั้น ไม่ต้องรอสองลำ สามลำแล้ว เที่ยวเดียวนี่แหละจบ"
..........เขารำพึงกับพวงมาลัยอย่างภูมิใจ ขณะเร่งส่งขึ้นดอยสุดกำลัง ขาขวาเกร็งเหยียด เหยียบเร่งจนจำมิด มือโยกส่ายพวงมาลัย ไปทางซ้ายที ขวาทีสลับไปมา เพื่อเพิ่มแรงส่งยามปีนดอยสูง

........ถนนช่วงสุดท้าย หน้าป้ายโรงเรียน นับเป็นช่วงปราบเซียน เพราะเอียงชันและลาดลื่นเอามากๆ มีไม่น้อย ต้องสยบพ่ายและล้มเลิก แต่ไม่ใช่เหตุผล สำหรับรถคันนี้และคนขับอย่างเขาแน่นอน...

........."นิด เอ้า นิด อีกนิด ครูครับ "    เด็กน้อย ตะโกนลุ้นจนตัวโก่ง เสียงดังจากกองหิน ขณะเสือเฒ่ากึ่งคลานกึ่งเลื้อย พอถึงกลางดอย ก็วูบหาย หมดแรงเอาดื้อๆ ทันใดนั้น มันก็จอดนิ่งบนภู ท่ามความลาดชันหกสิบห้าองศาหน้าโรงเรียน เงยหน้าเห็นป้ายและแสงไฟอาคารอยู่รอมร่อ อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงเป้าหมายแล้ว แต่เสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เฒ่าชราซึ่งหนักและโรยแรง ก็ไหลลงดอยอย่างรวดเร็ว ดุจมือปีศาจฉุดกระชากด้วยความโมโหแค้น เบรคมือถูกดึงอัตโนมัติ เท้าขวาย้ายคันเร่งไปเหยียบเบรก ควันคลัทช์เหม็นคลุ้ง ยางล้อบดคอนกรีต เสียง เอี๊ยด ๆ ๆ สุดทาง คราบยางสีดำครูดติดพื้นลากยาวตามถนน เหม็นไหม้ยาง คลัทช์คลุ้งอวลตลบ เหงื่อชุ่มง่ามมือและผุดเม็ดตามหน้าผาก มาถึงตอนนี้ เขารู้ชะตากรรมดีว่า หากบังคับพวงมาลัยไม่ได้ ลำห้วยลึกลุ่มดอย จะเป็นสุสานเรือนตาย ฝังทั้งรถ คน และหิน พร้อมฟังเสียงสวดอภิธรรมจากเขียดห้วย อย่างเลี่ยงมิได้

..........แสงไฟอาคารอนุบาลทอดแสงตัดเส้นขอบฟ้า ส่องลำขึ้นเบื้องบน เขาตั้งสติ ตบเกียร์หนึ่ง เหยียบเร่งรอรอบ พร้อมเหยียดสุดขา มุ่งส่งขึ้นดอยทิศตามแสงไฟ รอบแล้วรอบเล่าก็ยังไม่ถึงฝัน พอจะขึ้นไปได้ ก็หมดแรงเอาหน้าซื่อ....
..........เขาปลุกปล้ำกับพวงมาลัยอยู่พักใหญ่ อย่างเก่ง ก็ทำได้เพียง พาเสือเฒ่าและหินเต็มลำไปเยือนป้ายโรงเรียน หลังจากนั้น ก็ไหลลิ่วลงดอย รอบแล้ว รอบเล่า จนยากจะควบคุม ......

.....เมื่อริ้วรอยกาลเวลาเดินผ่านแก้ม และเส้นหงอกแซมหัว การทบทวนถึงความสมดุลชีวิต จึงเกิดขึ้น...
 
.....เบรกมือถูกดึง เพื่อจอดรถ หินก้อนแล้วก้อนเล่า ทยอยขนลงจากกระบะ กองสุมรวมไว้ข้างทาง......

..... เมื่ออยากถึงธงหมาย ก็จำเป็นสลัดพันธนาบนหลังไหล่ออก แม้จะไม่เหลือหินติดรถ สักก้อน... ก็จำยอม  เพราะว่า ไม่มีพจนานุกรมฉบับใด นิยามว่า....อิสรภาพเกิดขึ้นได้จากความอาลัยในพันธนาของเครื่องจองจำ
...หินพันธนาก้อนสุดท้าย ก็มิอาจได้รับการยกเว้น หากปรารถนาอิสระภาวะ.....