วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

มุมเงียบ

..... แดดยามแลง สาดสีโทนทองต้องลูกกะตา นำพาให้รู้สึกเหงาและเศร้าพิลึก มันเป็นแสงแรกของบ่ายในต้นปี ซึ่งอ้อยอิ่งและเงียบซึมกว่าทุกวัน ต้นหมากและขนุนข้างบ้าน ก่อนหน้าเคยวาดใบล้อลม กลับวันนี้ นานๆ ทีจะเล่นเงากับสีขาวของบ้านพักสักครั้งหนึ่ง เสียงสงัดเช่นนี้ ได้ตอกย้ำและสร้างความชอบธรรมให้กับความอ้อยสร้อยแผ่ริ้วรอยคลุมครอบทุกทิศทาง....

..... หลังการฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของผู้คนในย่านนี้ ท่ามราตรีที่ผ่านมา ประทัด พลุ ดอกไม้ไฟ เสียงปืน ดังโป้ง ป้าง ๆ รัวราวกับสงครามอยู่ข้างรั้ว ระคนเสียงไชโย โห่ฮิ้ว ของชายหญิง ที่เอ็ดตะโรจากเพลงคาราโอเกะ ค่อนดึก ฤทธิ์น้ำเมาทำให้พวกเขาคุยกันดังมากขึ้นและมากขึ้น ท้องถนนที่เคยมีเพียง รถเก็บขยะและแม่ค้ากาดเช้า วิ่งผ่านไปมาไม่กี่คัน ยามนี้ มีทั้งเสียงเหยียบเร่ง เสียงเบรค เสียงล้อบดเหยียดถนน ดังเอี๊ยดอ๊าด สุดคืน  กลับในวงเหล้า เสียงขวด เสียงแก้วตกแตก ดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ ระยะที่บาดร้าว จากหูเสียดลึกถึงใจผู้ทนฟัง ซ้ำร้าย หลายต่อหลายครั้งที่ปืน พลุไฟ ระเบิดขึ้น ชั่วอึดใจ จะมีเสียงตก กรู ซ่า ราวห่ากระสุนกรวดประโคมหลังคา เดชะบุญที่ไม่มีลูกใดทะลุมาฝังหน้าผากเจ้าของเรือน  มันเป็นอยู่อย่างนี้ รอบแล้วรอบเล่า กว่างานจะเลิกรา ก็ปาเข้ารุ่งสางของอีกวัน ช่างเป็นคืนส่งท้ายปีที่สับสน วุ่นวาย ครึกโครม และหวั่นหวาดมิน้อย  สิ้นเสียงนับถอยหลัง เก้า... แปด... เจ็ด ถึง ..ศูนย์ เล่นเอาเขาประสาทแทบจะกินก่อนสิ้นปี เช่นกัน...

..... เช้าแรกวันใหม่ในต้นปี จึงเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าและทึบทึม หลายคนแดดสาดจึงลุกล้างหน้า บางคนเริ่มรู้สึกตัวเดินโซเซกลับบ้าน หลายคนมึนขลักในหัวไม่เป็นอันทำการทำงาน และก็หลายคนตั้งวงใหม่เพื่อถอนพิษค้าง ทั้งหมดเริ่มต้นหลังพระเพลแล้วทั้งสิ้น สำหรับเขาแล้ว เช้าแรกของปี ยังงัวเงียกับเสื่อหมอนและผ้าห่ม เพราะทั้งคืนนอนลุ้นระทึกต่อเหตุการณ์ ราวกับเป็นผู้ร่วมงานฉลองเองก็มิปาน

.... หลายปีมานี้ เขาไม่ได้ร่วมเคาท์ดาวน์กับใคร และมองไม่เห็นว่าพิธีการแบบนี้ จะมีความสำคัญอันใด กลับเฝ้าเก็บตัวอย่างเงียบ ๆ ในมุมเล็กๆ ของชีวิต  มันเป็นเวลาอันน้อยนิดที่เขามีเหลือจากงาน ได้อยู่กับตน โดยที่สมองไม่ต้องครุ่นคิดเรื่องอื่นใดมากนัก การจมดิ่งอยู่กับตนเอง มีความถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเงียบ ขรึม พูดน้อย และฟังมากขึ้น จะว่าละม้ายนักพรตผู้เคร่งครัด ปฏิบัติโดยมิพูดจากับใครก็จะกล่าวเกินไป  ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่า ท่าทีแบบนี้เริ่มขึ้น ตั้งแต่เมื่อใด รู้อีกที ก็ตอนคนใกล้ชิดอึดอัด แสดงความไม่พอใจออกมาให้เห็น และทนไม่ได้กับความเฉยชา แหละในยามนั้น เขาเองที่ได้กลายเป็นคนแปลกหน้าของความคุ้นเคย ซึ่งต้องร่นถอย หลบมุมเพื่อเยียวยาตนเองอย่างเดียวดาย

.... ในมุมเงียบของเขา หนังสือได้เปิดปกต้อนรับอย่างอบอุ่น ดุจมิ่งมิตร หลายต่อหลายเล่มที่เคยซื้อเก็บไว้ ได้ถูกนำมาเปิดอ่าน อ่านเล่มแล้วเล่มเล่าอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับการสืบเสาะหาอะไรบางอย่างจากไส้ในตัวหนังสือ บางทีก็ขีด ๆ  เขียน ๆ  หรือพล็อตเรื่อง อะไรบางอย่าง ลงในสมุดบันทึก จนละลานและยุ่งเหยิงเต็มหน้ากระดาษ แต่แล้วกะเขียนไม่เสร็จสักเรื่อง  แต่อย่างไรก็ตาม ฉากเดิม ๆ แบบนี้ ยังย่ำย่างในทางของมัน มิเว้นวัน

"บักกวีใหญ่" บางใครให้ฉายา
"ปีที่ผ่านมา ขายได้กี่เล่มแล้วหละ หนังสือมึง" แฟนคลับผู้ติดตามผลงาน ถามแกมค่อนแคะ
"ดู โน่น ๆ ซีไรต์ มาแล้ว หลบหน่อยสู หลบมันหน่อย"
"กูว่า มึงลาออก แล้วไปเอาดีทางการเขียนเถอะไป๊! (หนังสือฌาปนกิจ) " โหราในหมู่คณะทักเชิงหยัน
      ฯลฯ
ทั้งหมดนับเป็นแรงอัดและผลักส่ง ย้ำยันให้เขาเดินทางผ่านปี เดือน และริ้วรอยของวันเวลาอย่างเงียบ ๆ ... แน่นอน สิ่งเหล่านี้ ได้ช่วยต้อนให้เขาเข้าสู่ภวังค์ และกลายเป็นคนแปลกหน้าของความคุ้นเคยเข้าไปทุกที

.... เรื่องทรัพย์ศฤงคาร ว่ากันเชิงประจักษ์และเป็นเช่นนั้นแล้ว หลายปีที่ผ่านมา สำหรับเขา ถือว่าล้มเหลว หากเทียบกับเพื่อนพ้องน้องพี่หลายๆ คน ในการสร้างและหามาครอบครอง เพราะทั้งเนื้อทั้งตัว มีเพียงหนังสือสี่ห้ากอง รถเก่าๆ คันหนึ่ง แม้เสื้อผ้าเกือบครึ่งก็ยังเป็นเสื้อบริจาค รองเท้าทำงาน ล้วนมือสาม-สี่ และเคยมีประสบการณ์ เดินด่านผ่านดอย มาแล้วทั้งนั้น สร้อยคอคราวเงินตกเบิกวิทยฐานะ ครั้งต้นปีก่อน เขารีบซื้อไว้ เพื่อจะได้ห้อยบูชาพ่อแม่ครูอาจารย์ และเป็นหลักยึดในยามมืดมน แต่มันก็ใช้เวลาไม่น้อยในการเข้าออกโรงรับจำนำ แทนที่จะแขวนห้อยบูชาอย่างที่ควรจะเป็น ขณะเพื่อนฝูง สร้างบ้าน ซื้อที่ดิน ลงทุนทำนั่นนี่ ดูดีมีอนาคตกันทุกคน  ในระยะแรก ๆ เรื่องเหล่านี้  สร้างความอึดอัดขัดใจ และบีบคั้นอยู่มาก แต่นานเข้า เขาเองชักชินชา เข้าใจและยอมรับ แต่กลับไม่แน่ใจว่า เหตุผลนี่จะคลุมครอบคนอื่น ๆ ได้หรือไม่ รวมถึงคนใกล้ชิด

.... สุรานารี หรือก็เช่นกัน เขาผ่านการมีพื้นที่ดื่มด่ำและเมามายมาแล้วทั้งสิ้น หลายต่อหลายครั้งปลุกปล้ำกับมโนธรรมในใจ แข็งขืนเอาชนะ แต่ใช่ว่าจะไร้ห้วงยามของการพ่ายแพ้ มนุษย์มักมีบาดแผลให้กับความอ่อนแอของตนเสมอ  ใครบ้างหละ ที่ไม่อยากเป็นคนดี ถ้อยคำเหล่านี้ มักสบถปนปลอบประโลม เพื่อเยียวยาตนเองในมุมเงียบอยู่เสมอ เช่นกัน

.... หากปีเดือนที่เคลื่อนไป ผ่านถ้อยคำเก่าและใหม่ของวันเวลา เขาประเมินตนเองในมุมเงียบ อย่างเงียบ ๆ โดยไม่ต้องสอบถามความคิดเห็นจากใครเลยว่า สอบตก สอบตก และ สอบ....

"พ่อจ๋า ทำงานทั้งวันเลยนะ " เสียงนางฟ้าทัก จนทำให้ตื่นจากภวังค์ ค่อย ๆ ถอนตัวจากมุมเงียบ หล่อนคงเห็นพ่อนั่งหน้าจอ นานค่อนวัน และเธอเอง ก็คงอยากใช้เครื่องเพื่อดูการ์ตูนตามประสา
" เอ่อ ๆ ใช่ ๆ พ่อทำงาน ทำงาน จ้า" เขาตอบพัลวัน

พลันเสียงไลน์กลุ่ม ก็ดังขึ้น
"ว่าไงเพื่อน ร้านเดิม ตามนัดนะ"
"สรุปงานกันหน่อย นาน ๆ เจอกัลลลล"
"รีบ ๆ มานะเฟ้ย มรึงเนี่ย ให้กรู รอ ตา หลอด"
"กรูได้หมูป่ามา จะให้เขาผัดฉ่า น้ำลายหกหละมรึง"
 "ขวดเก่ายังเหลือ คงพอทำยาได้"
"ปีใหม่ทั้งที ฉลองกันหน่อย รีบมา ๆ  อิ อิ "

..... แดดยามแลง สาดสีโทนทองต้องลูกกะตา นำพาให้รู้สึกเหงาและเศร้าพิลึก มันเป็นแสงแรกของบ่ายในต้นปี ซึ่งอ้อยอิ่งและเงียบซึมกว่าทุกวัน ต้นหมากและขนุนข้างบ้าน ก่อนหน้าเคยวาดใบล้อลม กลับวันนี้ นานๆ ทีจะเล่นเงากับสีขาวของบ้านพักสักครั้งหนึ่ง เงียบสงัดเช่นนี้ ได้ตอกย้ำและสร้างความชอบธรรมให้มุมภวังค์น้อย ๆ แผ่ริ้วรอยคลุมครอบทุกทิศทาง ฤาการนับถอยหลัง เพื่อเข้าเงียบ จะได้เลขผานาทีอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที