วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

สายลมหนาวเปลี่ยนทิศ ดวงจิตจะเปลี่ยนแปลง?


.............3 ปี 20 วัน เห็นจะได้ ที่ได้ย้ายมาอยู่โรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ เป็น 3 ปี ที่เต็มไปด้วยไฟฝัน

.............เป็น 3 ปี ที่มุ่งมั่น ทุ่มเท และจริงจัง

.............เป็น 3 ปี ที่งดงามและเรียบง่ายเฉกเช่นดอกหญ้า ที่ระย้าเอนไหวลู่เล่นกับสายลม

.............เป็น 3 ปี ที่ทำเพื่อจางเจือความขมขื่น และทุกข์ทน จากความเขินขาดโอกาสดีๆ ที่คนคนหนึ่งจะพึงมี พึงได้ เฉกเช่น สามัญชนคนทั่วไป

..............เป็น 3 ปี ที่เมามาย สับสน เหนื่อยล้า ทดท้อ กับหลุมบ่อของชีวิตในบางจังหวะเวลา

..............เป็น 3 ปี ที่แอบสะอื้นไห้ ยามที่ผู้คนหลับไหล กับความขมขื่นและเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ที่ได้สัมผัสและยลยิน

..............เป็น 3 ปี ที่เป็นอะไร ต่อมิอะไร ซึ่งมิอาจเอื้อนเอ่ย หรือกล่าวขานให้ครอบคลุม ความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า....... เป็น 3 ปี ที่มีความสุขมากที่สุด ทั้งในฐานะผู้นำ ผู้ตาม และเพื่อนร่วมทางกับมิตรสหาย จากทั่วทุกสารทิศ
.............เป็น 3 ปี ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจและจะจารจด ไปอีกนานแสนนาน




.........ข่าวการทาบทามผม ให้ย้ายไปอยู่โรงเรียนใหม่ ดังหนาหูขึ้นทุกวัน ครูน้อย คนแล้วคนเล่าสอบถามมิได้ขาด ชาวบ้าน ผู้เฒ่า ผู้หนุ่ม แม่เฮือน จับกลุ่มผิงไฟและพูดคุยเรื่องนี้ พอๆกับเรื่องขายข้าวโพดได้กำไร เรือนแสน หลักล้าน ผู้หลัก ผู้ใหญ่ในสำนักงานเขต ได้ทาบทามทั้งทางตรงและโดยอ้อม พร้อมๆ กับรอการตัดสินใจจากผม อย่างช้า ปลายเดือนมกรานี้ ดังนั้นช่วงนี้เวลาไปไหนมาไหน จึงมิพลาดที่จะมีเรื่องนี้เป็นประโยคต้นๆของการสนทนาระหว่างผมและมิตรผู้พานพบ.... มันจึงเป็นแรงเค้นบีบรัดตัวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

.......ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น แต่ที่รับรู้คือความจุกตัน ทับแน่นในอก และมืดตึบรอบด้าน ซึ่งก็พยายามหาเหตุผลประกอบการตัดสินใจจากทุกฝ่ายให้มากที่สุด เพราะการตัดสินใจของผมจากนี้ไป จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญครั้งหนึ่งของชีวิตข้าราชการครู

........ใช่สิ ฟากหนึ่งคือ ความก้าวหน้า เป็นใหญ่ เป็นโตและมีหน้าตาทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนใหม่ที่จะเลือกไปนั้น หากบริหารจัดการให้ดีจะเป็นฐานที่มั่นและเป็นบันไดไปสู่ความก้าวหน้าของชีวิตราชการได้ (อย่างไม่ยากเย็นนัก)
.........แต่อีกฟากหนึ่ง คือ ครอบครัว อันได้แก่ ลูกสาว เมียขวัญ ว่าไปแล้วครอบครัวนั้น เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดแต่ก็สำคัญที่สุดเช่นกัน เพราะสังคมที่มีคุณภาพอย่างแท้จริงนั้น มิอาจปฏิเสธได้ว่า เกิดมาจากหน่วยที่มีคุณภาพเล็กๆที่สุด อย่างครอบครัว ผมสอนลูกชาวบ้านเป็นพันเป็นหมื่นให้เป็นคนดีได้ แต่เวลาที่จะสอนลูกเพียงคนของตน ให้รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี และมีมโนธรรมพื้นฐานเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่งจะพึงมี ไม่ได้นั้น มันก็เป็นความโหดร้ายที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง สำหรับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่พึงจะได้รับ ในฐานะที่เป็นก้อนชีวิตของผม..........


...............2-3 วันที่ผ่านมา ผมจมปลักและดำดิ่งกับห้วงคำนึงเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก กินไม่ได้ นอนไม่ยอมหลับ เดินไปไหนมาไหนเหม่อลอย คิดวกไปวนมา วานซืนตอนกลางคืน หลังกลับจากงานกีฬาตำบล ที่โรงเรียนบ้านหนองม่วน ได้ติดรถครูเควินพร้อมๆกับน้องๆ อีก 7-9 คน รถพาเราเลื้อยล้อไต่ตามสันดอย วกมาวนไป ดอยลูกแล้วลูกเล่าก็ยังไม่ถึงโรงเรียน เฉกเช่นความคิดคำนึงที่เวียนวนในบ่วง หาทางออกไม่เจอ..... พระจันทร์กลมมน โผล่หน้าแย้มแสงนวลใยเหนือคาคบไม้ฟากดอย ด้านตะวันออก นกป่ากลางคืนเริ่มบินออกรวงรัง ส่งเสียงกังวานแว่ว เพื่อหากินยามรัตติกาล ในที่สุดรถก็พาเราคลานขึ้นดอยสูงที่บ้านกอกหลวง และเลื้อยต่ำลง ๆ เรื่อย ๆ จนถึงโรงเรียนในที่สุดใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงเต็ม รู้สึกเพลียกับการเดินทาง จึงหาที่ซุกกายภายใต้อ้อมกอดอันอบอุ่นของคืนค่ำ ยามเหนือย ล้าและเหงาๆ เช่นนี้ การได้อยู่กับตนเอง ดื่มด่ำกับธรรมชาติภายใน และฟังเสียงเล็กๆ รอบกายบ้าง ช่างเป็นคีตศิลป์ที่รัญจวนใจในคืนค่ำอันเหน็บหนาวยิ่งนัก

.......โรงเรียนเงียบผิดสังเกต เพราะน้องๆ พากันไปกินข้าวและเสวนาในหมู่บ้าน พื้นที่ 20 กว่าไร่กับการสถิตย์กายของใครเพียงคน พร้อมๆ กับหมาน้อย อีก 2-3 ตัว จึงฉายภาพความวิเวก วังเวงได้อย่างจับใจ ผมเอนหลังพิงเพลิงพักโรงทอผ้าของเด็กๆ นั่งดีดกรีดสายลายพิณ ตามห้วงจังหวะอารมณ์ภายใน ความสับสน ความจุกตัน บีบเค้น ผสมความเหงาเดียวดาย ต่อหนทางที่จะต้องตัดสินใจเดินไปข้างหน้า ทำให้ความอ่อนแอและความอ่อนไหวภายใน กลั่นน้ำใสๆ ซึมร่วงรดสายพิณ โดยมิรู้ตัว ........

.......นานมากแล้วหนอที่เราไม่ได้อยู่กับตัวเอง ไม่ได้ทบทวนตนเอง ว่าแท้จริงแล้วเป้าหมายของชีวิตคืออะไร จะไปสู่จุดไหน ใช่การมียศฐา มีหน้ามีตา มีความมั่นคง เป็นใหญ่เป็นโตแต่แห้งแล้งความสุขจากภายในกระนั้นหรือ หรือการเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย แต่อิ่มเอมสุขล้นจากการเข้าถึงสภาวธรรม

.......เกือบยามสองแล้ว นกเค้าแมวกู่เสียงร้องลุ่มป่าข้างโรงทอ หมาน้อยเห่าชาวบ้านที่กลับจากไปล่าสัตว์ทางบ้านแม่ฮ้อยเป็นสายสุดทาง น้องๆ คณะครูในโรงเรียนทยอยกลับจากหมู่บ้าน ต่างคนต่างแยกย้ายเข้าพักหลับนอนตามความประสงค์และข้อจำกัดของสังขาร เสียงพิณยังร่ายเพลงอยู่มิขาดเส้น น้ำหมอกลงพรมพื้นสนามหนาจนแทบมองไม่เห็น ความยะเยือกเย็นกำลังมาเยือนและทวีความเหน็บหนาวยิ่งขึ้น ดวงจันทร์เคลื่อนเลยกลางหัวแล้ว แต่แสงของมันยังงดงามและนวลนุ่มเช่นเดิม ดึกดื่นเช่นนี้...ความงดงามเช่นนี้...มีให้เห็นอยู่เสมอ แต่ที่ผ่านมา 3 ปี เราแทบไม่มีโอกาสที่จะนั่งชมชื่น ไม่กล้าแม้จะอยู่นิ่งหรืออยู่กับที่ ด้วยความกลัวว่า การอยู่นิ่งกับตนเองนั้น จะทำให้ล้าหลังผู้อื่น

.........3 ปีที่ผ่านมา จึงอาจเป็นก้าวและการวิ่งเข้าสู่ลู่ของการแข่งขัน เพื่อให้ได้มาในบางสิ่งบางอย่าง แต่ขณะเดียวกัน การได้มานั้น ก็ทำให้เกิดการขาดหายหรือตกหล่นจากการเข้าถึงความงดงามภายในไป แท้ท้ายสุดแล้ว เส้นชัยที่เราจะไปให้ถึงนั้นคืออะไร ใช่ยศฐาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือ การมี และร่ำรวยอริยทรัพย์ภายใน กันแน่ ...........

................ผืนป่า ยืนนิ่ง สงัดลม เสียงพิณก็จางเสียงลง ก่อนหน้า ......ขอบพระคุณธรรมะ ขอบพระคุณธรรมชาติและดงดอยที่ทำให้การเดินทางของผมช้าลงและเริ่มมั่นใจกับแนวทาง ผมมีคำตอบให้มวลมิตรที่พานพบ ก่อนสิ้นเดือนมกรานี้แล้ว ขอบพระคุณจริงๆ

........................บนดอยเดือนหงาย
........................ยามหมอกทอสายพรมดิน
........................ได้เห็นได้ยลยิน
.........................แม้สายลมหนาวจะเปลี่ยนทิศ
.........................แต่ดวงจิตไม่เปลี่ยนแปลง

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

สัจจะที่ซ่อนกายในสายหมอก

.........หอบ เหนื่อย และตาบวม คือปรากฎอาการของร่างกายที่เกิดขึ้น หลังจากต้อนรับมวลมิตรผู้จรแรมจากแดนไกล ทุกๆ ครั้ง หลังนอนดึก และดื่มด่ำบรรยากาศยามรัตติกาล จวบจนฟ้าสางเช่นนี้ ผมรู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอาการเยี่ยงนี้เสมอ มันคือผลพวงของการต้อนรับที่นวลนุ่มและงดงาม ปราศจากมายาคติ ทุกอย่างเกิดจากใจ ออกจากใจและส่งให้ ผู้มาเยือนด้วยใจ เช่นกัน

.........8-9 มกราคม 2553 คือห้วงเวลาที่ผมได้มีโอกาสต้อนรับ พี่ๆ น้องๆ จากบริษัท แพนดอร่าโพรดักชั่น กรุงเทพ ซึ่งคณะฯ ได้มาจัดกิจกรรมวันเด็ก มอบสื่อ วัสดุ อุปกรณ์และที่สำคัญได้มามอบ อาคารเติมฝันวันใหม่ เพื่อน้องผู้ห่างไกล ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้น รองรับการมาเรียนของเด็กๆ ในปัจจุบันและจะเพิ่มขึ้นในอนาคต รวมทั้งเป็นโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาแบบองค์รวมของเราต่อไป นับมูลค่า ตั้งแต่การมาประสานจนถึงวันส่งมอบข้าวของ ทั้งหมดนั้นแล้ว เกือบ 700,000 บาท เห็นจะได้ ในการนี้ มีผู้ใหญ่ใจดี 2 คน เป็นตัวแทนคนดีๆ เกือบ 5,000 คน ของบริษัท นำโดยพี่ปุ๊ และพี่เคน เป็นหัวหน้าคณะการเดินทาง การนัดหมายได้เกิดขึ้นก่อนหน้า ประมาณ 5 เดือน แล้ว มีการมาเยี่ยม ดู และประสาน ทั้งในพื้นที่ เมล์และโทรศัพท์ เป็นระยะอย่างสม่ำเสมอตลอดมา จนวันที่พวกเรารอคอยก็มาถึง

........เช้าวันที่ 8 มกราคม หลังเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ยังไม่สร่างซา ผมก็ได้ต้อนรับแขกรายใหญ่และรายแรกแห่งปี พี่น้องชาวคณะ มากันโดยใช้รถปิ๊กอัพ ทั้งรถส่วนตัวและของบริษัท ประมาณ 7 คัน รวมสมาชิกจาริกดอยในครั้งนี้ ราวๆ 20 คน ผมพาไปทานข้าวเช้า ที่ร้านครัวทองเพียร ซดแกงร้อนๆ และอาหารรสจัด เพื่อให้หายจากอาการเหนื่อยล้าและเมาทาง ผมรู้และเข้าใจหัวอกของคน เมา(ทาง) ดีว่า พะอืดพะอม ขื่นขม ฝื่นฝาด เช่นไร เห็นจะมีแกงร้อนๆให้หีบซดและอาหารรสจัดๆ เช่น ส้มตำ ยำ เท่านั้น ที่จะบรรเทาอาการเมาให้เบาคลายลงได้ หลังจากที่พวกเราได้รู้จักกัน ทานข้าวร่วมกัน ทำธุระส่วนตัว(ล้างมือ ล้างหน้า) เสร็จแล้ว ผมก็ขับรถนำทีมไปกราบนมัสการหน่อเนื้อพุทธองค์ (พระอาจารย์จรัญ อภิชาโต) ที่วัดถ้ำเหง้า ทุกวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดถ้ำพระโบราณ บางคนเรียก วัดถ้ำพระ ก็สุดแล้วแต่ใครจะเรียกชื่ออะไร สลักสำคัญคงไม่ได้อยู่ที่ชื่อ หากแต่อยู่ข้างในวัดต่างหาก ผมศรัทธา พระอาจาย์มาก ทุกครั้งที่มีแขกมาเยือน ผมจะพาไปกราบท่านมิได้เว้น ถือว่าเป็นกิจอย่างหนึ่งที่ต้องทำ ไม่รู้สิ มีคนสอนผมว่า บัวจะโผล่พ้นน้ำและบานได้ ย่อมต้องการแสงสว่างที่บริสุทธิ์ ผมคิดว่า แสงสว่างมีอยู่ในวัดแห่งนี้เสมอ และก็ยังหวังลึกๆ ว่า แขกของผมและรวมถึงตัวผมด้วย คงโผล่พ้นและเบ่งบานอย่างงดงามในสักวันหนึ่ง พระอาจารย์เทศนาและมอบวัตถุมงคลซึ่งเสมือนเป็นตัวแทนแห่งสติให้ทุกคนที่ได้ไป ระลึกรู้ ตื่นอยู่เสมอ .......

.......หลังจากนั้น ผมก็พาคณะเลื่อนล้อป่ายปีนภู ขึ้นยอดดอย จากเหนือ วกลงใต้ วนไปตก เวียนทิศตะวันออก เป็นเช่นนี้ ตามทางจรลีบนเทือกภู ผ่านดอยลูกแล้วลูกเล่า ก็ถึงจุดหมายปลายทางยังโรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ ซึ่งกินเวลาเกือบบ่ายคล้อยแล้ว น้องๆ คณะครู นักเรียนและชาวบ้านได้จัดแจงแต่งดาสถานที่ไว้เป็นอย่างดี ทั้งเวทีจัดงาน สถานที่พักผ่อน โรงครัวรับประทานอาหาร ดูแล้วก็พร้อมสำหรับการทำหน้าที่ของมัน ชาวคณะแยกย้ายทำภารกิจส่วนตน เรามีนัดหมายกันว่า คืนนี้จะส่งมอบอาคารและข้าวของต่างๆ พร้อมกับเลี้ยงฉลองกัน


ด้านอาหารการกินนั้น ครูกระแตพาน้องๆ ทำกับข้าวหลากหลายอย่าง ส่วน ครูจรัญ สมชิต และชาวบ้านสองสามคน ช่วยกันหันหมู วันนี้โรงเรียนเป็นเจ้าภาพใหญ่ ต้อนรับมิตรแดนไกลด้วยความเต็มใจและยินดียิ่ง ประมาณ 2 ทุ่ม ทุกคนก็พร้อมกันที่โรงอาหาร เมนูต่างๆ ที่เตรียมไว้ถูกเสริฟ ตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม วันนี้ ทั้งวัน ผมยิ้มสุขใจลึกๆ ภายใน ที่ได้เห็นมิตรภาพจากผองเพื่อน เห็นน้ำใจงามๆ จากชาวบ้าน ช่วยกันจัดเตรียมงานจนสำเร็จไปได้ด้วยดี สุขแค่ไหนบอกไม่ถูก อธิบายหรือพูดให้ใครฟังก็ยากยิ่งนัก พิธีการเริ่มขึ้น โดยตัวแทนโรงเรียนกล่าวต้อนรับและขอบคุณแขกมาเยี่ยม ผมเชิญกำนันตำบลแม่นาจาง ให้เป็นผู้แทน ซึ่งในวันนี้เขาเป็นทั้งพี่ เพื่อนและขุนพลร่วมกรำศึกต่อสู้เพื่อสิ่งดีงามมานานร่วม 700 กว่าวัน กำนันกล่าวขอบคุณทั้งน้ำตา หยดน้ำใสๆ จากดวงตาของลูกผู้ชาย มันบ่งบอกได้ว่าในใจเขามีความรู้สึกเช่นไร และคงมิเป็นการเกินเลยหากจะบอกว่าลูกบ้านก็ล้วนมีความรู้สึกไม่ได้แตกต่างจากเขามากนัก "....ขอบคุณแทนเด็กๆ ขอบคุณ แทนพี่น้องชาวแม่นาจางเหนือ.... ตะบรึหนอ....." มันสั้นๆ แต่ผมรู้ว่า มีความหมายที่ย่างยาวและคงจดจำไปอีกนานแสนนาน

......เรามีพิธีการกันเล็กน้อย หลังจากนั้น ก็เป็นการสังสรรค์ ของมิตรสหายที่มาเยี่ยมยามกัน..... ผมเดินรอบโรงอาหารทักทายเอื้อย อ้าย พี่น้อง เกือบทุกคน เสียงเพลงคาราโอเกะดังไม่ขาด นักร้องคนดัง นักฟังคนฮิต ต่างงัดเพลงออกมาขับกล่อมกันอย่างสนุกสนาน ได้อารมณ์ตามประสาพวกเรา พิเศษนอกจากแขกบ้านไกลแล้ว ปีนี้เรามีมิตรสหาย ซึ่งท่านเป็นปลัด อบต. ชาวบ้านเรียกว่า ป.เปี๊ยก ร่วมต่อสู้ ให้กำลังใจ และเคียงบ่าเคียงไหล่กับเรามาตลอด สักเที่ยงคืน ...ผมใจหาย ระคนแปลกใจ ว่าน้อง ๆ คณะครู พี่เคน และพี่ปุ๊ หายไปไหน ไฟในโรงเรียนก็ดับมืดมิด เสียงเพลงดังก้อง เงียบเสียงลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย สักพัก คณะฯทั้งในและนอก ต่างวิ่งกรูกันมาที่โรงอาหารที่จัดเลี้ยงกัน ผมตกใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามตั้งสติ
ทันใดก็เห็นแสงรำไรจากเปลวเทียนบนจานข้าว เดินเปล่งแสงเรืองรอง ฝ่าความมืดเข้ามายังบริเวณงาน และแล้ว ครูจรัญ ก็นำกล่าวและเชิญ คนนั้น คนนี้ ขึ้นกล่าวอวยพร ผมจึงถึง บางอ้อบางประกง ก็คราวนั้น พรุ่งนี้จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของเรา ทีมงานเลยเล่นเซอร์ไพรซ์แบบไม่ให้ตั้งตัว เหนือสิ่งอื่นใด ความสำคัญของวันคล้ายวันเกิดนั้น นอกเหนือจากเค้กข้าวสวย โรยหน้าด้วยมะเขือเทศแดงสุกอย่างสวยงามประณีต ซึ่งบ่งบอกความตั้งใจของผู้ประดิดประดอยแล้ว สิ่งสำคัญที่นอกจากนั้น ท่ามกลางรัตติกาลและความเยือกหนาวจากหมอกหนาแล้วก็คือ การกล่าวของ พี่เคน ผมจำได้ ติดหู "ผมเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ และของคุณครูที่นี่แล้ว มีความสุข ใส ไร้เดียงสา ปีหน้าผมจะทำผ้าป่า มาในนามส่วนตัว ผมรู้แล้วว่าจะทำอะไรให้ที่นี่" ช่างเป็น ของขวัญวันเกิดที่ท้าท้าย และยิ่งใหญ่นัก หลังลงจากเวที พี่เคนมอบนามบัตร ให้ผมสำหรับการติดต่อ ".....ปีหน้าพ้อกัน....ผมสิกลับมาอีก......."

............ดึกมากแล้ว สมควรแก่เวลา ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับที่พัก ซุกกายใต้ผ้าห่มและหลับใหล หมอกโรยตัวคล้ายธารเถ้า กระจายฝูงขาวหม่นเต็มลานสนาม ดอยทั้งดอยถูกห่มมุงด้วยหมอกมัว ........


.......กาลผันผ่าน หมุนวนไปตามวัฏฏะ สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนไปตามแต่เหตุและปัจจัย นับเวลาผ่านไปได้เกือบปีเต็มๆ สิ่งดี ๆ ก็ไหลเข้ามาในโรงเรียน เพื่อเป็นปัจจัยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กๆ น้ำใจจากหลายทิศ ได้ช่วยเหลือ ในสิ่งที่จำเป็นและเขินขาด บ้างเป็นหนังสือ สมุด ดินสอ อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า สิ่งปลูกสร้าง ฯลฯ ซึ่งก็ถือว่าเหมาะสม พอควร ที่เขาควรจะมีและควรจะได้ ในฐานะมนุษย์ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายร่วมโลกเดียวกัน ที่ยังพร่องในปัจจัยพื้นฐาน และมีผู้พร้อม เกิน เหลือ และเต็มใจที่จะให้ แบ่งปันกัน หลังจากต้อนรับ คณะคุณซูซาน ซึ่งเป็นฝรั่งคณะหนึ่งที่ให้การสนับสนุนการศึกษาในเขตพื้นที่ภุเขาสูงมานาน ได้มามอบบ้านพักนักเรียนให้แก่เด็กๆ แล้ว ก็มีโอกาสพาคณะฯ ดังกล่าว ไปที่ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม (ราวๆ 14 พฤศจิกา 53 ) ขณะที่เดินนำคณะ ชมแต่ละจุดอยู่นั้น ก็ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจาก กรุงเทพ .....ต้นเสียงจากปลายทาง คือพี่เคน นั่นเอง ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน นับตั้งแต่วันเด็กคราวแล้ว แทบไม่ได้ติดต่อกันเลย "ให้อาจารย์ ดำเนินการได้เลยเด้อ เรื่องที่เว้ากันไว้...... ผมไปแน่นอน ประมาณ 26 ธันวา นี้..." เป็นคำยืนยันที่หนักแน่น ว่าคำมั่นที่ให้ไว้ ต้องได้รับการปฏิบัติ ..........

....................ท่ามกลางฝูงหมอกห่มและสายลมหนาว ตอนปลายเดือนธันวา 53 ผมก็ได้มีโอกาสต้อนรับมิตรสหาย รายแรก รายใหญ่ และเป็นรายเดียวกันกับต้นปีที่ผ่านมา หากจะพิเศษกว่าคราวแล้ว ก็ตรงที่ว่า ครั้งนี้ แต่ละท่านได้พาคนพิเศษ ของตนมาจาริกดอยอย่างพร้อมเพียงเรียงหน้ากัน สำหรับการต้อนรับในครั้งนี้ พวกเราชาวบ้านก็เต็มที่อย่างเช่นที่ผ่านมา พี่น้องได้จัดกิจกรรมสนุกๆ ให้กับเด็กน้อย มอบข้าวของให้กับชาวบ้านและโรงเรียน เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือว่า แม้ฝูงหมอกครานั้นจะไม่ใช่ครานี้ แม้สายลมหนาวยามนั้นจะไม่ใช่ยามนี้ แต่คำสัจจะที่ได้ให้ไว้ในวันนั้น ก็ได้รับการพิสูจน์ชัดแจ้ง แล้วว่า ณ ดินแดนดอยสูงแห่งนี้ คือเวทีพิสูจน์คนแท้ คนจริง แม้หมอกเหมยจะสลาย แต่ "สัจจะยังซ่อนกายในสายหมอก" เพราะเขาคือคนแท้ คนจริง จริง!!!!!


พี่สมัย เชื้อสระคู.............คนจริงแห่งทุ่งกุลาร้องไห้
อ้ายเคน .........................เลือดร้อยเอ็ด

ขอน้อมคารวะด้วยจิตศรัทธา
พิณ คืนเพ็ญ