ค่ำแล้วตะวันลงลาเลือนลับ
ขณะกลับระหว่างทางโรงเรียนบ้าน
เพียงแสงดาววาววับระยับนาน
เงียบสงัดราตรีกาลผู้สัญจร
ระหว่างทางข้างไพรใกล้ริมน้ำ
เสียงหริ่งร่ำหรีดร้องก้องสิงขร
รถสาดไฟแสงส่องต้องบังอร
อรชรกระโจนเผ่นเต้นเข้าไพร
บั้นท้ายเต็มเนื้อล้นแกมหม่นขาว
ขนมันวาวน้ำตาลแดงยามแสงได้
สี่ขาเรียวเทียวคล่องท่องกินใบ
ดงแมกไม้เขียวอ่อนป้อนโตตน
ระหว่างทางพบพานในห้วงเสี้ยว
ปีติเดียวแน่นนับคับถนน
ผุดแสงดาวในตารอนแรมชน
รักษาตัวให้พ้นจากภัยพาน
ค่ำแล้วตะวันลาลงเลือนลับ
ขณะกลับระหว่างทางโรงเรียนบ้าน
บางไฟส่องซุ่มไพรอยู่นับนาน
กัมปนาทปืนพรานก็ก้องดอย
....พิณ คืนเพ็ญ...
...31 ตุลาคม 2558...

"เวทีนี้ มีไว้เพื่อบันทึกและบอกเล่าเรื่องราวของคนสันภู ซึ่งเป็นเสมือนยุ้งข้าว คอยเก็บผลผลิตของฤดูกาลแห่งชีวิต ทั้งของตนและคนแรมทาง เป็นมุมเล็กๆมุมหนึ่งในครัวอักษรา แบ่งปันบางอย่าง ให้ได้อ่านคิดคุย มิได้ โดดเด่นดังดี อะไรดอก แค่ได้บอก เชื้อชวน ให้ขบบ้าง ก็เท่านั้น เพราะเชื่อว่า ถ้ายุ้งข้าวนี้ ทำให้คนได้อ่าน มากกว่าสิ่งที่ได้เขียน ก็คิดว่า ได้ทำหน้าที่อย่างยิ่งใหญ่แล้ว ก่อนที่ ถ้อยคำแห่งการพลัดพรากจะผุดเปล่ง ก่อนบทเพลงสุดท้ายแห่งชีวิตจะบรรเลง ตามกฎธรรมดา ก็เท่านั้น"
วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ตุลา
ต้นตุลาที่ผ่านมามีหลายสัจ
หนึ่งคือชัดราชการครบเกษียณ
ให้รุ่นใหม่เกิดใหม่ได้ถ่ายเวียน
มาแทนเหง้าที่เก่าเตียนได้ป่งใบ
บ้างเฉลิมยิ้มร่ำกับตำแหน่ง
ดื่มฉลองสองแง่งขึ้นแท่งใหญ่
เจ้านายเอื้อเพื่อนช่วยก็อวยชัย
พวงมาลัยคล้องคอเจ้าพ่อคุณ
บ้างสองขั้นปีต่อปีที่ทำได้
เส้นสายไล้กวาดควักเต็มตักหนุน
เบียดแซงพี่ไล่ตีน้องชุลมุน
เดชะบุญได้เสียบเหยียบโรยรา
บ้างวิ่งซ้ายป่ายขวาตลบตลอด
สอพลอพรอดทำได้ไร้คุณค่า
จัดซื้อจ้างต่างกำหนดหมดราคา
เปอร์เซ็นต์ข้าใครอย่าบ่นเบื้องบนชี้
มะเร็งร้ายเกาะกุมสุมทุกซอก
จะมีดอกอะไรบานได้นี่
จะยืนหยั่งรากกล้า ข้าฯ ภูมี
จะหยัดปลูกต้นอิสรีให้แผ่นดิน
ไม่ระยอบมอบใจให้ดำแง่ง
กล้าขัดแย้งต้านตีประจัญสิ้น
สมกับข้าบริพารแห่งภูมินทร์
ลมตุลาฯ ยังโรยรินหรือสิ้นแล้ว
ลมตุลาฯ ยังโรยรินหรือสิ้นแล้ว
วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558
ราก

ราก
เธอเปลือยเปลือกแลกโมงยามความอยู่รอด
แทรกพื้นปูนแข็งขอดของเมืองเข็ญ
แหละหยัดหยั่งรากผ่านลานซีเมนต์
เพียงผลิเป็นร่มใบ..ได้เย็นเมือง
....พิณ คืนเพ็ญ....
.....ต้นหนึ่งใน ยุพราชวิทยาลัย เชียงใหม่.
ท่อนสัจจา
ดินน้ำแดดลมผสมนี้
จึ่งเขียนขอบรอบปีการเติบกล้า
ผึ้งภมรหนอนเมฆดาริกา
แท้ฟูมฟักมังสาให้ดอกใบ
กรวดหินดินทรายหาใดอื่น
ล้วนคือวันคืนตอไม้ใหญ่
เปลี่ยนรูปล้อนามตามกันไป
เหลือเหง้าแก่นไว้ท่อนแท้สัจธรรม
... สิบสองนาฬิกามุ่งหน้า ร.ร.ศิริราชบ้านดง
แก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
... 25 สิงหาคม 2558
...พิณ คืนเพ็ญ
วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ดาวดิน

ในนาไร่แห่งจินตนาการ
เค้าชวนกันหว่านเมล็ดฝัน
เพาะปลูกกล้ารักและผูกพัน
ยิ้มอิ่มสันต์คือผลดอกที่ออกรวง
ผลิป่งท่ามลานความงามง่าย
ยามบ่ายฟ้าใสหลังฝนร่วง
กระป๋องเก่าเปล่าไร้ประโยชน์ปวง
สกาวดวงระยิบหล้า ก่อนฟ้าเลือน
บ้านแม่ลิดหลวง
พิณ คืนเพ็ญ
รอยทราย

ร้าวทรายผ่านผืนทราย
เยื้องย่างกรายสู่หมายหมุด
ปริแยกแตกร้าวทรุด
รอยแล้วหยุด ณ สมดุล
..บ้านดิน สันติชน ปาย ..
ความอ่อนน้อมของก้อนหิน
ไม่ว่าหินดินทรายปูนกรวดก้อน
ต่างน้อมอ่อนปูถนนให้คนก้าว
รองบางฝันรับบางใครในย่างยาว
ได้ทบท่าวเข้าสู่หมายใกล้ความจริง
...รอยย่าง ปลายทางปาย...
ต่างน้อมอ่อนปูถนนให้คนก้าว
รองบางฝันรับบางใครในย่างยาว
ได้ทบท่าวเข้าสู่หมายใกล้ความจริง
...รอยย่าง ปลายทางปาย...
คำกวี
บางคำอุดมเลิศงามหรู
บางจริงเป็นอยู่ยังไม่ใช่
ย้อนแย้งเอ็งในข้านับนาไป
เปิดช่องไฟให้ได้ตื่นพื้นที่คิด
บางจริงเป็นอยู่ยังไม่ใช่
ย้อนแย้งเอ็งในข้านับนาไป
เปิดช่องไฟให้ได้ตื่นพื้นที่คิด
ทาทาง
แม้มิอาจเป็นร่มเงาให้เขาได้
ด้วยจำกัดบางใบเรียวก้านกิ่ง
แหละแสงสายสาดไล้มิไหวติง
ยังงามพริ้งพิมพ์ภาพอาบทาทาง.
ด้วยจำกัดบางใบเรียวก้านกิ่ง
แหละแสงสายสาดไล้มิไหวติง
ยังงามพริ้งพิมพ์ภาพอาบทาทาง.

นิรนามบุปผาชน
เย็นเช้าบนอานเบาะ
เลียบเลาะนาดอยไร่
จิบน้ำค้างพอชุ่มใจ
ปั่นดอกไคลพอชุ่มตน
ทักทายกอข้าวน้อย
น้ำหมอกพลอยเปียกปานฝน
นิรนามบุปผาชน
บานดอกต้นอิสรา...
เลียบเลาะนาดอยไร่
จิบน้ำค้างพอชุ่มใจ
ปั่นดอกไคลพอชุ่มตน
ทักทายกอข้าวน้อย
น้ำหมอกพลอยเปียกปานฝน
นิรนามบุปผาชน
บานดอกต้นอิสรา...
![]() |
ริมทุ่งนา บ้านพะมะลอ แม่สะเรียง เช้าอีกวัน |
ไปเป็นเช่นนี้

แสงเช้า วาดเงาไม้ ให้วันใหม่
วาวไหว ใบเดือน การเคลื่อนผ่าน
ดำเนิน ในรู้ ฤดูกาล
จดจาร ไปเป็น อยู่เช่นนี้
..บ้านแม่สะเรียง...
พอเผา
"ประสงค์"เผา ย่างปิ้ง ทิ้งระเบิด
เชิญ!ตามใจ เจ้าเถิด สหาย
โลกยังมี ฟืนไฟ อีกมากมาย
ดุ้นสุดท้าย พอเผา ผู้เขาทำ
กรณีรอบวางระเบิด
หน้าศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ กทม.
เชิญ!ตามใจ เจ้าเถิด สหาย
โลกยังมี ฟืนไฟ อีกมากมาย
ดุ้นสุดท้าย พอเผา ผู้เขาทำ
กรณีรอบวางระเบิด
หน้าศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ กทม.
หนุนตักกระท่อมนา
หอบความเหนื่อยล้าเข้าพิงพัก
หนุนตัก กระท่อมนา ริมทุ่ง
สูดกลิ่น ดินหอม ลมลอมปรุง
หลบวุ่น ยุ่งบ้าง ในบางวัน
ให้ลม นาข้าว เป่ากระหม่อม
หมอกเช้า ชุบย้อม ใบดอกฝัน
ละมุนไล้ จากใจ ดวงตะวัน
แค่นั้น, สวรรค์ อวยพรแล้ว
มุ่งหน้า แม่ฮ่องสอน
หนุนตัก กระท่อมนา ริมทุ่ง
สูดกลิ่น ดินหอม ลมลอมปรุง
หลบวุ่น ยุ่งบ้าง ในบางวัน
ให้ลม นาข้าว เป่ากระหม่อม
หมอกเช้า ชุบย้อม ใบดอกฝัน
ละมุนไล้ จากใจ ดวงตะวัน
แค่นั้น, สวรรค์ อวยพรแล้ว
มุ่งหน้า แม่ฮ่องสอน
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
หมอกเดียวดาย
เดียวดายในสายหมอก
ยืนต้นงอกออกกิ่งก้าน
หนึ่งน้อยคอยทัดทาน
จะหยัดนานถึงปานใด...
ยืนต้นงอกออกกิ่งก้าน
หนึ่งน้อยคอยทัดทาน
จะหยัดนานถึงปานใด...
ธรรมาภิบาล
สยบยอมค้อมรับความเถื่อนถ่อย
สอพลอพลอยรับห้วงเป็นช่วงทอด
เงียบแลง่ายไร้ใดจะอิดออด
ปากกลับเพ้อพร่ำพรอด...ธรรมาภิบาล
ไว้อาลัยบางใครคน
พิณ คืนเพ็ญ
23 ก.ค. 2558
สอพลอพลอยรับห้วงเป็นช่วงทอด
เงียบแลง่ายไร้ใดจะอิดออด
ปากกลับเพ้อพร่ำพรอด...ธรรมาภิบาล
ไว้อาลัยบางใครคน
พิณ คืนเพ็ญ
23 ก.ค. 2558
ไม้เรือนชำ
ไม้ในเรือนเพาะชำ "การเติบกล้า"
อาศัยบางห้วงเวลาเพื่อพักต้น
ดื่มน้ำฟ้า ลม แดด รัก ประทังตน
มินานทน ได้หยั่งราก นอกเรือนโรง
หนาวลมฝนปรอย...
เด็กน้อยกำลังมาโรงเรียน
พิณ คืนเพ็ญ
23 ก.ค. 58 แม่ลิด
วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558
โลกมืด
เปิดปฏิทินประสบการณ์ชีวิต ในเดือนทำการแรกของ พ.ศ.ได้อย่างมีความหมาย ไม่น่าเชื่อว่า เพียงห้วงยามสั้นๆ เขากลับได้เรียนรู้บางสิ่งอย่าง จนแทบจะทำให้ถุงย่ามประสบการณ์ พาลปริขาด
แดดสาย สวย ตอนเช้าวันอาทิตย์ วันที่นาฬิกาของคนเมือง หยุดไขลานตนเองเพื่อผ่อนพัก เขาพร้อมเด็กน้อยจากดอยสูง ได้เข้าไปสัมผัส "มิติใหม่" ในซอกมุมที่ "ไม่เคยเห็น" และเป็นครั้งแรกที่ "ความรู้สึก" ทำงานอย่างไร้ขีดจำกัด
กลุ่มคณะ ได้เดินเข้าไปในพื้นที่ ที่ถูกจำลองว่า "โลกมืด" ซึ่งก็มืดจริงๆ นอกจากสีดำทึมทึบรอบตาแล้ว ก็แลไม่เห็นมีสิ่งใด ก่อนเข้าห้อง เจ้าหน้าที่แจกไม้เท้า ให้คนละอัน พร้อมสาธิตวิธีใช้ ข้อระวัง ขณะอยู่ในห้วงม่านตื้อ เด็กน้อยถูกจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละแปดคน เดินเรียงแถวตอน เขาเองปิดท้าย โดยทิ้งช่วงแขนแทนระยะห่างระหว่างกัน
"ค่อยๆ เดิน ระมัดระวังนะคะ คุณมีเวลา อยู่ในห้องนี้ เท่าที่คุณจะเดินได้"
เสียงแรกดังมาทายทัก เจ้าของทำนองใส เป็น "พี่เลี้ยงในห้องมืด" ผ่านการแนะนำโดยเธอเอง ซึ่งมีหน้าที่ พาเยี่ยมชมนิทรรศการภายใน ไม่ให้พลัดหลง รวมถึงความปลอดภัย และอื่น ๆ อีก
ในโลกสีดำแล้ว ดวงตา มิได้มีไว้เพื่อ "การเห็น" หาต่างอะไรกับโทรศัพท์ หากไร้สัญญาณแล้ว อย่างมาก มันก็เป็นได้แค่กล้องถ่ายรูป ไม่ก็ไฟฉาย จะใช้ติดต่อสื่อสารนั้น แทบบ่มีทาง
เธอนำเขาและเด็กน้อยเดินผ่านห้องหับ ซับซ้อน ที่ออกแบบคล้ายสถานที่จริง บ้างจำลองเป็นป่า น้ำตก บ้างตลาด บ้าน รถ และร้านขายอาหาร ซึ่งทั้งหมด ผ่านการรับรู้โดยอวัยวะทุกส่วน ยกเว้น "ตา" ระหว่างดูแลคณะ พี่เลี้ยงสาวคนนี้ มีสัมผัสพิเศษเหนือคนธรรมดา เธอชำนิชำนาญโลกมืดเอามากๆ ราวกับว่า ห้องทั้งเจ็ดนี้ เธอบรรจงสร้าง จัดวางทุกสิ่งด้วยมือเอง จึงได้รู้ทุกตรอกซอกซอยละเอียดยิบ ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่การเคลื่อนไหวและเสียงลมหายใจของใครต่อใครในนี้
"เขามีตาทิพย์ครับครู"
ใครคนนึงเอ่ย พลางใช้ไม้เท้าแตะพื้นเพื่อหาทางไป ขณะเพื่อนที่อยู่ข้างหลัง ก็แตะไหล่เขาไม่ยอมห่าง พวกเขาฉงนกับความคล่องแคล่วว่องไว ของพี่เลี้ยงคนนี้ เธอช่างตาทิพย์ รู้ทางและทุกสิ่งอย่างของการเป็นไปในนี้ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็เถอะ คราวจนมุม มืดทางที่จะเดิน สัญชาตญาณ สอนให้ย่อตัวและลดตนลงต่ำ จนเกือบจะติดพื้น คล้ายยอมจำนนกับชะตาชีวิต พี่เลี้ยงสาวเสียงใส ได้จับไหล่และกระซิบกับเขาเบา ๆ ว่า
"ครู ยืนตรง ๆ"
เธอพูดยังกะตาเห็น เขาย้ำความเห็นของคนก่อนหน้า
พอถึงห้องสุดท้าย หล่อนให้ทุกคนสรุป ว่าใครได้เรียนรู้อะไร รู้สึกอย่างไร ทุกคนแย่งกันตอบ แต่สำหรับเขา ยังคงตื่นกับโลกบอด และทึ่งในความสามารถของเธอมิหาย
" กินข้าวกับอะไร ตาจึงได้เห็นทะลุอย่างนี้"
ก่อนจะออกจากห้อง เด็กน้อยเก็บงำความอยากรู้ เลยขอดูหน้าเจ้าของเสียง ทันใด ทุกคนต้องตะลึง เมื่อหล่อนเดินหลังตรง ใช้ไม้เคาะพื้น เตาะ แตะ ๆ ออกมาจากข้างใน อย่าง ช้า ๆ ตาข้างหนึ่งหลี่แทบปิด อีกข้างกลอกไปมา แลเห็นตาสีขาวเป็นส่วนใหญ่ เธอเอียงหูฟังเสียงและค่อยๆ สืบเท้า เบา ๆ ขณะเยื้องกาย เป็นภาพที่ชวนเวทนามิน้อย กระนั้นก็ตาม มุมปากงามของเธอยังเปื้อนด้วยรอยยิ้มมิจาง
"ตาบอด!" ทุกคนเอามือป้องปากและอุทานพร้อมกันในใจ
แม้ดวงตาจะเฉาฉาย แต่ดวงหน้ายังเปื้อนยิ้มและอิ่มสุข เธอคุยสนุก มีลูกล้อ ลูกขำ ทำให้ห้องมืดนั้นก้องดังด้วยเสียงหัวเราะ แหละเสียงกังวานใสของเธอนั่นเอง "ที่นำทาง.."
"ผมอยู่แม่ฮ่องสอน พี่เคยไปไหม" ใครคนนึงเอ่ย
เธอเงียบ และลดระดับเรียวยิ้มข้างมุมปากลงนิดนึง ... ก่อนลา เธอบอกกับคณะว่า
"ช่วยบอกคนมาเที่ยวกันเยอะๆ นะคะ พวกหนูจะได้มีงานทำ"
"วันนี้ หมดเวลาของโลกมืด แล้วค่ะ"
ทุกคนทยอยเดินออกจากห้อง ทีละคนสองคน จนลับเสียง ผู้ชมรายใหม่ต่างต่อแถว และทยอยมารับไม้เท้า พร้อมเข้าสู่ห้วงยามของโลกมืด ....
เขายืนขมฝื่น ติดตันอยู่ในคอ พร้อมๆกับกลืนก้อนจุกนั้น ลงอึกใหญ่
ใช่สิ เวลาของเขาในห้องมืดนี้ อาจหมดแล้ว แต่เวลาโลกมืดแห่งเธอล่ะ สาวน้อย จะหมดลงเมื่อใด ...
ใช่ เวลาในห้องมืดนี้ อาจหมดแล้ว แต่โลกบอดแห่งใจ โลกใบ้แห่งตน กลับกว้างใหญ่ไพศาล เงียบ มืดดำราวถ่านก้อน แท้จริงแล้ว ใครกันเล่าที่อยู่ในม่านมืด ใครกันนะที่ "ไม่เคยได้เห็น" เขาค่อย ๆ ใช้ไม้เท้าความคิด เคาะพื้น เตาะ แตะ ๆ ๆ ๆ
....................
พิณ คืนเพ็ญ
จัตุรัสจามจุรี
แดดสาย สวย ตอนเช้าวันอาทิตย์ วันที่นาฬิกาของคนเมือง หยุดไขลานตนเองเพื่อผ่อนพัก เขาพร้อมเด็กน้อยจากดอยสูง ได้เข้าไปสัมผัส "มิติใหม่" ในซอกมุมที่ "ไม่เคยเห็น" และเป็นครั้งแรกที่ "ความรู้สึก" ทำงานอย่างไร้ขีดจำกัด
กลุ่มคณะ ได้เดินเข้าไปในพื้นที่ ที่ถูกจำลองว่า "โลกมืด" ซึ่งก็มืดจริงๆ นอกจากสีดำทึมทึบรอบตาแล้ว ก็แลไม่เห็นมีสิ่งใด ก่อนเข้าห้อง เจ้าหน้าที่แจกไม้เท้า ให้คนละอัน พร้อมสาธิตวิธีใช้ ข้อระวัง ขณะอยู่ในห้วงม่านตื้อ เด็กน้อยถูกจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละแปดคน เดินเรียงแถวตอน เขาเองปิดท้าย โดยทิ้งช่วงแขนแทนระยะห่างระหว่างกัน
"ค่อยๆ เดิน ระมัดระวังนะคะ คุณมีเวลา อยู่ในห้องนี้ เท่าที่คุณจะเดินได้"
เสียงแรกดังมาทายทัก เจ้าของทำนองใส เป็น "พี่เลี้ยงในห้องมืด" ผ่านการแนะนำโดยเธอเอง ซึ่งมีหน้าที่ พาเยี่ยมชมนิทรรศการภายใน ไม่ให้พลัดหลง รวมถึงความปลอดภัย และอื่น ๆ อีก
ในโลกสีดำแล้ว ดวงตา มิได้มีไว้เพื่อ "การเห็น" หาต่างอะไรกับโทรศัพท์ หากไร้สัญญาณแล้ว อย่างมาก มันก็เป็นได้แค่กล้องถ่ายรูป ไม่ก็ไฟฉาย จะใช้ติดต่อสื่อสารนั้น แทบบ่มีทาง
เธอนำเขาและเด็กน้อยเดินผ่านห้องหับ ซับซ้อน ที่ออกแบบคล้ายสถานที่จริง บ้างจำลองเป็นป่า น้ำตก บ้างตลาด บ้าน รถ และร้านขายอาหาร ซึ่งทั้งหมด ผ่านการรับรู้โดยอวัยวะทุกส่วน ยกเว้น "ตา" ระหว่างดูแลคณะ พี่เลี้ยงสาวคนนี้ มีสัมผัสพิเศษเหนือคนธรรมดา เธอชำนิชำนาญโลกมืดเอามากๆ ราวกับว่า ห้องทั้งเจ็ดนี้ เธอบรรจงสร้าง จัดวางทุกสิ่งด้วยมือเอง จึงได้รู้ทุกตรอกซอกซอยละเอียดยิบ ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่การเคลื่อนไหวและเสียงลมหายใจของใครต่อใครในนี้
"เขามีตาทิพย์ครับครู"
ใครคนนึงเอ่ย พลางใช้ไม้เท้าแตะพื้นเพื่อหาทางไป ขณะเพื่อนที่อยู่ข้างหลัง ก็แตะไหล่เขาไม่ยอมห่าง พวกเขาฉงนกับความคล่องแคล่วว่องไว ของพี่เลี้ยงคนนี้ เธอช่างตาทิพย์ รู้ทางและทุกสิ่งอย่างของการเป็นไปในนี้ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็เถอะ คราวจนมุม มืดทางที่จะเดิน สัญชาตญาณ สอนให้ย่อตัวและลดตนลงต่ำ จนเกือบจะติดพื้น คล้ายยอมจำนนกับชะตาชีวิต พี่เลี้ยงสาวเสียงใส ได้จับไหล่และกระซิบกับเขาเบา ๆ ว่า
"ครู ยืนตรง ๆ"
เธอพูดยังกะตาเห็น เขาย้ำความเห็นของคนก่อนหน้า
พอถึงห้องสุดท้าย หล่อนให้ทุกคนสรุป ว่าใครได้เรียนรู้อะไร รู้สึกอย่างไร ทุกคนแย่งกันตอบ แต่สำหรับเขา ยังคงตื่นกับโลกบอด และทึ่งในความสามารถของเธอมิหาย
" กินข้าวกับอะไร ตาจึงได้เห็นทะลุอย่างนี้"
ก่อนจะออกจากห้อง เด็กน้อยเก็บงำความอยากรู้ เลยขอดูหน้าเจ้าของเสียง ทันใด ทุกคนต้องตะลึง เมื่อหล่อนเดินหลังตรง ใช้ไม้เคาะพื้น เตาะ แตะ ๆ ออกมาจากข้างใน อย่าง ช้า ๆ ตาข้างหนึ่งหลี่แทบปิด อีกข้างกลอกไปมา แลเห็นตาสีขาวเป็นส่วนใหญ่ เธอเอียงหูฟังเสียงและค่อยๆ สืบเท้า เบา ๆ ขณะเยื้องกาย เป็นภาพที่ชวนเวทนามิน้อย กระนั้นก็ตาม มุมปากงามของเธอยังเปื้อนด้วยรอยยิ้มมิจาง
"ตาบอด!" ทุกคนเอามือป้องปากและอุทานพร้อมกันในใจ
แม้ดวงตาจะเฉาฉาย แต่ดวงหน้ายังเปื้อนยิ้มและอิ่มสุข เธอคุยสนุก มีลูกล้อ ลูกขำ ทำให้ห้องมืดนั้นก้องดังด้วยเสียงหัวเราะ แหละเสียงกังวานใสของเธอนั่นเอง "ที่นำทาง.."
"ผมอยู่แม่ฮ่องสอน พี่เคยไปไหม" ใครคนนึงเอ่ย
เธอเงียบ และลดระดับเรียวยิ้มข้างมุมปากลงนิดนึง ... ก่อนลา เธอบอกกับคณะว่า
"ช่วยบอกคนมาเที่ยวกันเยอะๆ นะคะ พวกหนูจะได้มีงานทำ"
"วันนี้ หมดเวลาของโลกมืด แล้วค่ะ"
ทุกคนทยอยเดินออกจากห้อง ทีละคนสองคน จนลับเสียง ผู้ชมรายใหม่ต่างต่อแถว และทยอยมารับไม้เท้า พร้อมเข้าสู่ห้วงยามของโลกมืด ....
เขายืนขมฝื่น ติดตันอยู่ในคอ พร้อมๆกับกลืนก้อนจุกนั้น ลงอึกใหญ่
ใช่สิ เวลาของเขาในห้องมืดนี้ อาจหมดแล้ว แต่เวลาโลกมืดแห่งเธอล่ะ สาวน้อย จะหมดลงเมื่อใด ...
ใช่ เวลาในห้องมืดนี้ อาจหมดแล้ว แต่โลกบอดแห่งใจ โลกใบ้แห่งตน กลับกว้างใหญ่ไพศาล เงียบ มืดดำราวถ่านก้อน แท้จริงแล้ว ใครกันเล่าที่อยู่ในม่านมืด ใครกันนะที่ "ไม่เคยได้เห็น" เขาค่อย ๆ ใช้ไม้เท้าความคิด เคาะพื้น เตาะ แตะ ๆ ๆ ๆ
....................
พิณ คืนเพ็ญ
จัตุรัสจามจุรี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)