วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

โลกมืด

         เปิดปฏิทินประสบการณ์ชีวิต ในเดือนทำการแรกของ พ.ศ.ได้อย่างมีความหมาย ไม่น่าเชื่อว่า เพียงห้วงยามสั้นๆ เขากลับได้เรียนรู้บางสิ่งอย่าง จนแทบจะทำให้ถุงย่ามประสบการณ์ พาลปริขาด

          แดดสาย สวย ตอนเช้าวันอาทิตย์ วันที่นาฬิกาของคนเมือง หยุดไขลานตนเองเพื่อผ่อนพัก เขาพร้อมเด็กน้อยจากดอยสูง ได้เข้าไปสัมผัส "มิติใหม่"  ในซอกมุมที่ "ไม่เคยเห็น" และเป็นครั้งแรกที่ "ความรู้สึก" ทำงานอย่างไร้ขีดจำกัด

           กลุ่มคณะ ได้เดินเข้าไปในพื้นที่ ที่ถูกจำลองว่า "โลกมืด" ซึ่งก็มืดจริงๆ นอกจากสีดำทึมทึบรอบตาแล้ว ก็แลไม่เห็นมีสิ่งใด ก่อนเข้าห้อง เจ้าหน้าที่แจกไม้เท้า ให้คนละอัน พร้อมสาธิตวิธีใช้ ข้อระวัง ขณะอยู่ในห้วงม่านตื้อ เด็กน้อยถูกจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละแปดคน เดินเรียงแถวตอน เขาเองปิดท้าย โดยทิ้งช่วงแขนแทนระยะห่างระหว่างกัน

"ค่อยๆ เดิน ระมัดระวังนะคะ คุณมีเวลา อยู่ในห้องนี้ เท่าที่คุณจะเดินได้"

          เสียงแรกดังมาทายทัก เจ้าของทำนองใส เป็น "พี่เลี้ยงในห้องมืด" ผ่านการแนะนำโดยเธอเอง ซึ่งมีหน้าที่ พาเยี่ยมชมนิทรรศการภายใน ไม่ให้พลัดหลง รวมถึงความปลอดภัย และอื่น ๆ อีก

           ในโลกสีดำแล้ว ดวงตา มิได้มีไว้เพื่อ "การเห็น" หาต่างอะไรกับโทรศัพท์ หากไร้สัญญาณแล้ว อย่างมาก มันก็เป็นได้แค่กล้องถ่ายรูป ไม่ก็ไฟฉาย จะใช้ติดต่อสื่อสารนั้น แทบบ่มีทาง
เธอนำเขาและเด็กน้อยเดินผ่านห้องหับ ซับซ้อน ที่ออกแบบคล้ายสถานที่จริง บ้างจำลองเป็นป่า น้ำตก บ้างตลาด บ้าน รถ และร้านขายอาหาร ซึ่งทั้งหมด ผ่านการรับรู้โดยอวัยวะทุกส่วน ยกเว้น "ตา" ระหว่างดูแลคณะ พี่เลี้ยงสาวคนนี้ มีสัมผัสพิเศษเหนือคนธรรมดา เธอชำนิชำนาญโลกมืดเอามากๆ ราวกับว่า ห้องทั้งเจ็ดนี้ เธอบรรจงสร้าง จัดวางทุกสิ่งด้วยมือเอง จึงได้รู้ทุกตรอกซอกซอยละเอียดยิบ ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่การเคลื่อนไหวและเสียงลมหายใจของใครต่อใครในนี้

"เขามีตาทิพย์ครับครู"

         ใครคนนึงเอ่ย พลางใช้ไม้เท้าแตะพื้นเพื่อหาทางไป ขณะเพื่อนที่อยู่ข้างหลัง ก็แตะไหล่เขาไม่ยอมห่าง พวกเขาฉงนกับความคล่องแคล่วว่องไว ของพี่เลี้ยงคนนี้ เธอช่างตาทิพย์ รู้ทางและทุกสิ่งอย่างของการเป็นไปในนี้ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็เถอะ คราวจนมุม มืดทางที่จะเดิน สัญชาตญาณ สอนให้ย่อตัวและลดตนลงต่ำ จนเกือบจะติดพื้น คล้ายยอมจำนนกับชะตาชีวิต พี่เลี้ยงสาวเสียงใส ได้จับไหล่และกระซิบกับเขาเบา ๆ ว่า

"ครู ยืนตรง ๆ"

        เธอพูดยังกะตาเห็น  เขาย้ำความเห็นของคนก่อนหน้า
พอถึงห้องสุดท้าย หล่อนให้ทุกคนสรุป ว่าใครได้เรียนรู้อะไร รู้สึกอย่างไร ทุกคนแย่งกันตอบ แต่สำหรับเขา ยังคงตื่นกับโลกบอด และทึ่งในความสามารถของเธอมิหาย

" กินข้าวกับอะไร ตาจึงได้เห็นทะลุอย่างนี้"

         ก่อนจะออกจากห้อง เด็กน้อยเก็บงำความอยากรู้ เลยขอดูหน้าเจ้าของเสียง ทันใด ทุกคนต้องตะลึง เมื่อหล่อนเดินหลังตรง ใช้ไม้เคาะพื้น เตาะ แตะ ๆ ออกมาจากข้างใน อย่าง ช้า ๆ  ตาข้างหนึ่งหลี่แทบปิด อีกข้างกลอกไปมา แลเห็นตาสีขาวเป็นส่วนใหญ่ เธอเอียงหูฟังเสียงและค่อยๆ สืบเท้า เบา ๆ ขณะเยื้องกาย เป็นภาพที่ชวนเวทนามิน้อย กระนั้นก็ตาม มุมปากงามของเธอยังเปื้อนด้วยรอยยิ้มมิจาง
 "ตาบอด!" ทุกคนเอามือป้องปากและอุทานพร้อมกันในใจ

       แม้ดวงตาจะเฉาฉาย แต่ดวงหน้ายังเปื้อนยิ้มและอิ่มสุข เธอคุยสนุก มีลูกล้อ ลูกขำ ทำให้ห้องมืดนั้นก้องดังด้วยเสียงหัวเราะ  แหละเสียงกังวานใสของเธอนั่นเอง "ที่นำทาง.."

"ผมอยู่แม่ฮ่องสอน พี่เคยไปไหม" ใครคนนึงเอ่ย

เธอเงียบ และลดระดับเรียวยิ้มข้างมุมปากลงนิดนึง ... ก่อนลา เธอบอกกับคณะว่า

"ช่วยบอกคนมาเที่ยวกันเยอะๆ นะคะ พวกหนูจะได้มีงานทำ"
"วันนี้ หมดเวลาของโลกมืด แล้วค่ะ"

        ทุกคนทยอยเดินออกจากห้อง ทีละคนสองคน จนลับเสียง ผู้ชมรายใหม่ต่างต่อแถว และทยอยมารับไม้เท้า พร้อมเข้าสู่ห้วงยามของโลกมืด ....

       เขายืนขมฝื่น ติดตันอยู่ในคอ พร้อมๆกับกลืนก้อนจุกนั้น ลงอึกใหญ่
ใช่สิ เวลาของเขาในห้องมืดนี้ อาจหมดแล้ว แต่เวลาโลกมืดแห่งเธอล่ะ สาวน้อย จะหมดลงเมื่อใด ...

        ใช่ เวลาในห้องมืดนี้ อาจหมดแล้ว  แต่โลกบอดแห่งใจ โลกใบ้แห่งตน กลับกว้างใหญ่ไพศาล เงียบ มืดดำราวถ่านก้อน  แท้จริงแล้ว ใครกันเล่าที่อยู่ในม่านมืด ใครกันนะที่ "ไม่เคยได้เห็น"  เขาค่อย ๆ ใช้ไม้เท้าความคิด เคาะพื้น เตาะ แตะ ๆ  ๆ  ๆ

              ....................
              พิณ คืนเพ็ญ
              จัตุรัสจามจุรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น