ในวันจันทร์ที่ผ่านมา น้องในโรงเรียนได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการตัดสินงานศิลปหัตถกรรม 3 คน
ผู้จัดได้เชิญประชุมชี้แจงแนวทางดำเนินการในวันถัดมา
แต่ทั้ง 3 ไม่ได้ไป และมีความกังวลใจ เลยถามผมว่า จะทำอย่างไรดี
ถ้าไม่ได้ประสาน อาจลองสอบถามดูว่าเพราะอะไร หากไม่มีเหตุผลพอรับฟังได้ ก็แสดงว่าเขาไม่เห็นคุณค่าของเราหรืองานที่จะทำสักเท่าไร คำตอบตรงนี้ง่ายมากต่อการตัดสินใจและคลายกังวล และถ้าเป็นผม ผมรู้จะทำอย่างไร
แต่ทั้ง 3 ไม่ได้ไป และมีความกังวลใจ เลยถามผมว่า จะทำอย่างไรดี
ถ้าไม่ได้ประสาน อาจลองสอบถามดูว่าเพราะอะไร หากไม่มีเหตุผลพอรับฟังได้ ก็แสดงว่าเขาไม่เห็นคุณค่าของเราหรืองานที่จะทำสักเท่าไร คำตอบตรงนี้ง่ายมากต่อการตัดสินใจและคลายกังวล และถ้าเป็นผม ผมรู้จะทำอย่างไร
ขณะเดียวกัน
ถ้าหน่วยจัด ได้ขอหรือบอกกล่าวให้เราทราบล่วงหน้าแล้ว แต่เป็นเจ้าตัวเองที่ไม่ได้แจ้งโรงเรียน
ตรงนี้ก็ยิ่งง่าย เพราะรู้แก่ใจว่าเหตุแห่งความกังวลใจ อยู่ตรงไหน ก็ต้องแก้ตรงนั้น ส่วนจะไปหรือไม่ นั่นอีกประเด็น ซึ่งมีประเด็นที่ต้องมาว่ากันอีกที
งานนี้จัดเพื่ออะไร? คำถามใหญ่ ที่ผมเองก็ยิงใส่ตนเอง
ตัววัดว่าสำเร็จคืออะไร?
คุณค่าแท้อยู่ตรงไหน?
ดีกว่านี้ มีอีกไหม?
เราจะอยู่หรือไปร่วมงานในฐานะใด?
ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อใคร แค่ไหน?
แล้วไปถึงแก่นเชิงคุณค่าแท้นั้นจริงๆ รึเปล่า?
เราจะอยู่หรือไปร่วมงานในฐานะใด?
ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อใคร แค่ไหน?
แล้วไปถึงแก่นเชิงคุณค่าแท้นั้นจริงๆ รึเปล่า?
ทั้งหมด ตั้งคำถามเล่นๆ กับตนเองและถือโอกาสชวนคุยประกอบการตัดสินใจของน้องพี่
บอกเหตุผลมาสิ
ถ้าไปจะเกิดประโยชน์อะไรกับใคร?
และไม่ไป จะเกิดคุณค่าอะไร อย่างไร?
แต่ละคนยิ้มและหงึกหัว
เราเองก็ไม่ได้ห้าม ไม่โกรธ พร้อมรับฟังทุกๆคำตอบและการตัดสินใจของน้องๆ
เราเองก็ไม่ได้ห้าม ไม่โกรธ พร้อมรับฟังทุกๆคำตอบและการตัดสินใจของน้องๆ
พอโยนการตัดสินใจคืนไปให้เจ้าตัว
ย่อมสร้างความอึดอัดบ้าง เพราะส่วนใหญ่
ย่อมสร้างความอึดอัดบ้าง เพราะส่วนใหญ่
เราเคยแต่ "สั่งมาเลย" "บอกมาเลย จะให้ทำอะไร"
กระวนกระวายใจ จึงปรากฎแก่เจ้าตัวพอสมควร
กระวนกระวายใจ จึงปรากฎแก่เจ้าตัวพอสมควร
แน่นอน เพราะมีสิ่งเกี่ยวเกาะ ผ่านความคิด ความเชื่อและพิธีกรรมเดิมๆ อยู่
ครั้นจะยกเลิก เซ็ทความคิด ความเชื่อชุดใหม่ จึงไม่ง่ายอย่างที่คิด
"เขาจะไม่ว่าเราหรือ?"
"คำสั่งก็มี แต่เราไม่ร่วมไม่ทำกับเขา แล้วจะ...."
"เกรงใจเหมือนกันนะ กลัวเขาว่า.."
"ทุกโรง(เรียน)มากันหมดเลย"
"จัดบูธอลังการมาก"
"สุดยอดเลย โรงเรียนเพื่อนหนูได้ไปต่อ (ระดับภาค)"
"เราไม่ไปตอนย้ายจะใช้อะไรประกอบ"
เห็นใจ และเข้าใจความรู้สึกที่ตีเต้นเข้นบีบในใจของพี่น้องทุกคน
งานหนึ่งของผมคือ ต้องเขย่าพวกเขา
เขย่าและเข้าโจมตี ความเชื่อ ความคิดเดิมให้เสียดุล
พวกเขาจะเริ่มเขว รวน เป๋
อาการเป๋นี้ คือโอกาส ที่จะทำให้แต่ละคน ดีดดึ๋งดึงตนกลับเข้าสู่ปกติ อีกครั้ง
การดีดกลับสู่สมดุล คือกระบวนการเรียนรู้ที่มีความหมาย
ช่วงนี้โหมดรู้ตัวและใคร่ครวญจะทำงานหนักมาก
เขาจะคุยกับใคร ถ้าไม่ถกกับตนเอง เอายังไงดีว่ะ ฯลฯ
หลังเขย่าแล้ว
งานหนึ่งคือเฝ้าดูปรากฏการณ์
บางคำตอบ กระทำ หรืิอตัดสินใจ ได้บอกโจทย์พัฒนารอบใหม่ให้เรา
สิ่งหนึ่งที่ต้องหยัดและมี คือ ยืนระยะรอบให้ได้
และบอกตัวเองว่า รอคอยได้ ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
คำตอบจึงไม่ได้อยู่ที่ Yes หรือ No เพราะตรรกะหลังนั้น สำคัญกว่า
พี่น้องจะไปหรือไม่ จึงไม่ได้มีผลต่อความรู้สึก
คำอธิบายลุ่มลึก เพราะอะไร อย่างไร หลังใคร่ครวญอย่างดีแล้วนั้นต่างหาก คือคุณค่า
ในถังขยะ อาจซ่อนปรัชญาความเข้าใจแห่งอาณาจักรของชีวิต ก็เป็นได้
ใครจะเข้าไปแตะถึงสภาวะในนั้นล่ะ ถ้าไม่ใช่ตัวเจ้าของเอง
ผมได้แต่แอบยิ้มอิ่ม ลึกๆ อยู่หลังบูธงานฯ
ผมได้แต่แอบยิ้มอิ่ม ลึกๆ อยู่หลังบูธงานฯ
เราต่างเดินทางเรียนรู้กันและกัน
เราจะก้าวไปด้วยกันค่ะ
ตอบลบ