วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

หนูดี








หนูดี คนดีของแม่พ่อ
ผู้ถักทอ ใยรัก ถักใยฝัน
ผู้แต่งโลก สดใส ให้ลาวัณย์
ผู้แบ่งปัน   คุณค่า    ความดีงาม

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

เด็กกับผู้ใหญ่

...มีคนเคยบอกว่า ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่นั้น สิ่งที่ต่างกันและเห็นได้ชัดที่สุด คือเวลาฝนตก
เด็กๆ มักวิ่งเล่นกับสายฝน อย่างสนุกสนานและสบายใจ
....ขณะที่ผู้ใหญ่ รีบหลบเข้าชายคา หรือคว้าหาร่มบังหยาดฝน
อย่างน้อยก็เพื่อบดบังและปกป้องตัวตน...
เด็กน้อยเปิดโลกเรียนรู้ ยื่นอกรับประสบการณ์ใหม่ๆ
ผู้ใหญ่ร่นถอย ซุกซ่อนบางอย่างกับบางสถานการณ์ที่พันพัว
ใช่เด็กน้อย....ไร้เดียงสาดอก จึงบังอาจหาญท้า สู้ไข้ หวัด จาม ไอ อันเกิดจากฝน
ใช่ผู้ใหญ่ จะพรั่นพรึง สะทกท้าน ต่อสถานการณ์ที่พานพบดอก
เด็กเรียนรู้ที่จะกล้า ขณะที่ผู้ใหญ่เรียนรู้ที่จะถอยในบางคราว
....ค้างคาวยังนอนตอนกลางวัน เพื่อกลางคืนจะได้โบยบิน หาอาหาร..ฉันใด
ทุกคนต่างมีเหตุมีผล
ทุกคนต่างรู้กาลเทศะ
ทั้งคู่ เรียนรู้ที่จะเป็น เรียนรู้ที่จะแตกต่าง แตกต่างตามทางเดินของชีวิต....ฉันนั้น
.......สิ่งยิ่งใหญ่และแตกต่างที่แท้จริง จึงอยู่ที่ว่า
ใครจะเกี่ยวเก็บประสบการณ์ของวันวัยที่ผ่านพบ พร้อมกับอดทนรอการบานดอกของชีวิต
บานดอกจนตกผลึกแห่งปัญญาอันงดงาม ...ส่งกลิ่นหอม อบอวลไกล ใครยิ่งตกผลึกกับชีวิตได้มาก
ยิ่งถีบช่องห่างระหว่างความต่างได้มากกว่ากัน... ที่ตรงนั้น. น่าจะเป็นมาตรวัดความต่างที่ชัดที่สุด...กระมัง
                      
                        กลางดอยเหงา
                          พิณ คืนเพ็ญ


ยอดสุดพันดอย

ยอดสุดพันดอย
กระท่อมน้อยหนึ่งเคหา
ครึ่งหนึ่ง ภิกษุชรา
อีกครึ่งห้อง เมฆาครอง
ดึกแล้ว เมฆาเคลื่อน
ลอยเลือน ตามลมล่อง
เมฆยัง ไม่นิ่งกอง
สงบสุขเท่า....หลวงตาฯ
  ภิกษุจื้อจือ
อาจารย์ฌานแห่งราชวงศ์ยุคซ่ง

กวีพิณ

ถ้าหากพิณ มีเสียง  อยู่ในพิณ
เก็บในกล่อง ไม่ได้ยิน จะมีเสียง
ถ้าหากเพลง อยู่นิ้ว มือเรียง
ไยไม่ฟัง เพียงเสียง ...จากนิ้วมือ
        ซูตงปอ
กวีเอกแห่งยุคราชวงค์ซ่ง

ภาพจีนสวยๆ

มีภาพวาดจีนโบราณสวยๆ มาฝากครับ ดูแล้วเย็นใจดี บำบัดความวุ่นวายทางความคิด ปลดปล่อยตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันขณะได้บ้าง...แค่นี้ก็พอในระดับพื้นฐานสำหรับการอยู่กับตนเองบ้างแล้วนะครับ












  




ขุนเขายะเยือก

ขุนเขายะเยือก
  
 บทกวีของผู้สันโดษ ฮั่นชาน... ยากยิ่งแลที่คนจักเข้าถึง พจนา จันทรสันติ ถอดความได้อย่างงดงามและอ่อนหวาน...พยายามจะนำมาฝากทุกท่านที่ผ่านทางมาพบเจอ เพื่อจะได้ปลดเปลื้องตัวตนจากพันธนาการทั้งมวล...บางครั้งปล่อยให้ลมไหว ใบไม้ติง อิงออดกิ่งก้าน ต้านหมอกลมหนาวอย่างเสรีจะเป็นทางหนึ่งที่พบพานความสุขนุ่มลึกจากห้วงในในได้... เชิญครับ


 ๑.บิดามารดา ทิ้งมรดกไว้ให้
มากพอที่ข้าพเจ้าไม่ต้องอิจฉาผืนนาของใคร
กึกกัก กึกกัก เสียงภรรยาทอผ้า
เจี้ยวจ้าว เจี้ยวจ้าว เสียงลูกๆเล่น
ข้าพเจ้า ปรบมือ เร่งเร้า กลีบบุปผา ไหว
ดีดพิณ ฟังเสียงเพลงจากหมู่วิหค
ใครเล่าจะเห็นคุณค่าของวิถิชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้
ณ ที่นี้ เพียงมีคนตัดฟืนผ่านมาในบางครั้ง....


๒.กระท่อมฟางหญ้า คือ ที่พักพิง ของ คนป่าคนดอย
เปลี่ยวร้าง ห่างไกล จนยากที่จะพบเกวียน และ ม้าผ่านมา
แนวไพรสงบเงียบ ฝูงนกต่างมาสร้างรวงรัง
ลำธารกว้าง อุดมไปด้วย ฝูงปลา
ข้าพเจ้า ไปเก็บ ลูกไม้ป่า กับลูกๆ
ไปพรวนดิน ในผืนนา กับ ภรรยา
และในกระท่อม จะมีสมบัติสิ่งใด 
มีเพียง กองหนังสือ กองสุมบนเตียง .............


๓.พอถึงเดือนสาม
เมื่อหนอนไหมยังเป็นตัวอ่อน
หมู่หญิงสาว พากันมาเก็บบุปผา เอนอิงพิงกำแพง
พวกเธอหยอกล้อกับผีเสื้อ
เริงเล่นไปตามริมฝั่งน้ำ ขว้างปากบด้วยกรวดหิน
พากันเก็บ ลูกบ๊วย ใส่เต็ม แขนเสื้อ
ใช้ ปิ่นทอง ขุดหา หน่อไม้
พูดคุยกันถึงเรื่องความงามของธรรมชาติ
สถานที่นี้ งดงามกว่า ที่ที่ข้าพเจ้าอยู่อาศัย .........
 
๔.
จับกิ่งเหนือมวลดอกไม้ นกสีเหลืองพากันขับขาน
กุ๋ย กุ๋ย เสียงร้องเสนาะใส
สตรีสาววงพักตร์งามดังหยก
ดีดีปแป้ขานรับ
บรรเลงเพลงมิรู้เบื่อ
วัยหนุ่มสาวเป็นช่วงเวลาน่้าใฝ่ฝัน
ครั้นเมื่อบุปผาโรยร่วงและวิหคบินหายลับ
หยาดน้ำตาของเธอจะหลั่งไหลในสายลมฤดูใบไม้ผลิ


๕.
ข้าพเจ้าร้องเรียกมิตรสหายมาเก็บดอกบัว
ชูช่อโบกไหวอยู่เหนือน้ำใส
เพลิดเพลินใจจนแทบหลงลืมกาลเวลาำ
ล่วงเลยสายจนสายลมยามค่ำพัดกรรโชก
กระแสคลื่นหนุนเนื่องเป็ดเลี้ยง
ระลอกคลื่นโยกคลอนเป็ดป่า
ลอยเรือเพียงลำัพังในยามนี้
ความคิดคำนึงไหลเนื่องไม่ขาดสาย.

 ๑๘.
รวงข้าวใหม่ยังสุกไม่ทันเก็บเกี่ยว
เมื่อกินข้าวเก่าหมดจนเมล็ดสุดท้าย
ข้าพเจ้าจึงออกไปขอยืมจากเพื่อนบ้าน
ไปยืนอยู่้หน้าประตู ลังเลรีรอ
พ่อบ้านมาที่ประตู และบอกให้ไปขอกับเมีย
แม่บ้านออกมาและบอกให้ไปขอจากผัว
ตระหนี่ถี่เหนียวเกินกว่าที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในยามขัดสน
คนเรายิ่งรุ่มรวยเพียงใด ก็ยิ่งโง่เพียงนั้น...

๑๙.
ผู้คนหัวเราะเยาะข้าพเจ้าที่คล้ายคนบ้า
"ท่านเคยเห็นคนท่าทางโง่งมอย่างนี้ไหม
แม้แต่หมวกก็ยังใส่ไม่ถูก
เข็มขัดก็ดึงจนรัดกิ่้ว"
ใช่ว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักแบบแผนการแต่งตัว
แต่ยามเมื่อจนยาก ท่านก็ไม่อาจทันสมัย
สักวันเมื่อข้าพเจ้าร่ำรวย
ก็จะซื้อหมวกสูงเท่าพระเจดีย์องค์นั้น...


๓๒.
ข้าพเจ้านอนเพียงลำพัง ใต้เงื้อมผา 
ที่ซึ่งละอองหมอกอบอวลจวบจนยามสาย
ถึงแม้ ที่อยู่อาศัยจะมืดครึ้ม แต่จิตใจ กลับโปร่งใส..... อิสระ.....
ในความฝัน 
ข้าพเจ้าท่องเที่ยวผ่านประตูสวรรค์
ควงวิญญาณเดินข้ามสะพานหิน
ข้าพเจ้าได้สละทุกสิ่ง ซึ่งเป็นเครื่องถ่วงหนัก
โกกโกก โกกโกก เสียงน้ำเต้าแห้งกระทบกิ่งไม้*


*มีคนสงสารผู้สันโดษ ฉู่ยู่(Hsu yu) ที่ท่านต้องใช้มือวักน้ำดื่ม
จึงมอบน้ำเต้าใส่น้ำ ให้ใบหนึ่ง แต่หลังจากใช้มันเพียงครั้งเดียว
ฉู่ยู่ก็แขวนมันไว้กับต้นไม้ ....และจากไป ปล่อยให้มันแกว่งไกวกระทบกับต้นไม้ในสายลม........


๖๐.
ปราชญ์ยิ่งใหญ่แต่โบราณ
มิได้บอกเลยว่าชีวิตยั่งยืนเป็นอมตะ
สิ่งที่เกิดมาล้วนต้องตาย
สรรพสิ่งป่นสลายกลายเป็นฝุ่นผงและธุลี
กระดูกกองสูงดังภูเขาวิปุล
น้ำตาแห่งความจำพรากมากมายดังท้องทะเล
สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ
ใครเลยจะรอดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเกิดและการตาย..



คัดจากหนังสือ : ขุนเขายะเยือก  
ผู้ถอดความ     : พจนา จันทรสันติ
สำนักพิมพ์       : เทียนวรรณกรรม

นักศึกษาเฒ่า คืนสู่สามัญ



*นักศึกษาผู้เฒ่า,
ในห้องซอมซ่อ,
พร่ำถึงสมัย(ราชวงศ์)ถังและ(ราชวงศ์)หยวี,
เอ่ยถึงบุพกาลนานเน;
ผู้มารุ่นหลังเขามากหลายได้ตำแหน่งสูงศักดิ์.
เบื้องหน้าที่พำนักของเขา พวกกระจอกเหล่านี้วางท่าเยี่ยงพยัคฆ์,
ชูธงทิวดั่งมังกรสะบัดส่ายในมรรคา,
บัดดลอำนาจวาสนาเสื่อมสลายราวเป็นฝันคราวสันตฤดู ใครจักจดจำเขาได้.
สู้อยู่อย่างสมถะดีกว่า อยู่บ้านเล็กๆในตรอกเปลี่ยวๆ,
ยามว่างก็สอนสั่งศิษย์ตัวน้อยๆไม่เดียงสา.



*ที่มา : บล็อก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dingtech&group=2 เอื้อเฟื้อบทกวีดีๆ ทุกท่านสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ มีบทกวี ภาพศิลป์จีนให้อิ่มเอมมากมายขอรับ ขออนุญาตเผยแพร่และขอบพระคุณเจ้าของบล็อกมา ณ ที่นี้ขอรับ

ต้นหอม คนนินทา

....มีบทกวีของฮั่นชาน มาฝาก อ่านทีไรก็ชื่นใจและมีกำลังใจทุกคราวครั้ง ฝากให้กับทุกๆคน รวมทั้งตนเองด้วย.....

เมื่อเห็นใครนินทาว่าร้ายผู้อื่น
ข้าพเจ้านึกถึงคนซึ่งเอาตะกร้าไปตักน้ำ
วิ่งเร็วที่สุด วิ่งกลับมาบ้าน
แต่เมื่อมาถึงก็เหลือเพียงความว่างเปล่า
เมื่อเห็นใครถูกผู้อื่นใส่ความนินทา
ข้าพเจ้านึกถึงต้นหอมในสวน
ทุกๆวันมีคนไปเด็ดใบของมันออก
แต่ดวงใจของมันยังอยู่และผลิใบใหม่ขึ้น.


...........................

( ขุนเขายะเยือก บท ๑๔ )

ขุนเขายะเยือก กวีนักพรต ฮั่นชาน ผู้รจนา

พจนา จันทรสันติ ถอดความ.