วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พรรษาของนกปรอด

......แต้ แว้ด แครก แครก
 .....แต้ แว้ด แครก แครก
......เจ้าปรอดก้นแดง ตัวเขื่อง ใช้ขาข้างหนึ่งเกาะพุ่มพริกริมรั้วข้างบ้าน โหนหัวและหย่อนตัวลงโคลนต้น
ตาแส่ส่ายไปมา เหมือนมองหาอะไรสักอย่าง เอียงหัว เอียงคอ ละม้ายครุ่นคำนึงอะไรสักเรื่อง
ปากก็ร้องเพลง...
 ...แต้ แว้ด แครก แครก
....แต้ แว้ด แครก แครก 
....มิได้ขาด เป็นอยู่อย่างนี้ หลายสิบนาที  นับเป็นภาพหนึ่ง ที่ กันเอง และใกล้ชิด ที่สุด ใกล้ชิดจนรับรู้ถึง ความไว้วางใจ ระหว่าง เรา ขึ้นอีกวัน...

 .......ประมาณ สองพรรษาเห็นจะได้ ที่ปรอดเข้ามาอาศัย ชายคาบ้าน เป็นรังนอน (เฉพาะในวันครึ้มฟ้าหรือฝนตก) เพราะโดยปกติ หากฟ้าแจ่ม หรือปลอดฝน มันจะนอนบนต้นลำไย มิปรากฎกายและเสียงในระยะกระชั้น เช่นนี้ ให้เห็นหรือยินนัก

.......ปีที่แล้ว มีสมาชิกเพียงสามตัว  ตกมาปีนี้ มี หก ไม่แน่ใจว่า เป็นลูกหรือพ้องเพื่อน ที่เพิ่มขึ้น เวลานอน จะงอยคอน เรียงตัวชิดติดกัน พร้อมสลับหัวหาง เป็นยามระวังภัย หน้าหลังแก่กัน ด้วยขนที่ปุกปุย กอปรกับกายชิดติดกัน  ทำให้ ยามนอน ปรอด ทุกตัว ได้รับไออุ่นจากกันและกัน อย่างสม่ำเสมอ ในทิวาอันยาวนาน จึงทอห่มฝัน ท่ามราตรีฝน  อันอ่อนโยน หลับสนิทใจ ใต้คา ที่อุ่นเอม.....

........เช้าวันอาสาฬบูชาปีนี้  ก่อนที่จะพาลูกสาวไปวัด ปรอด ก้นแดง สองในหกตัว ก็บินมาจับริมรั้ว แล้วส่งเสียง แต้ แว้ด แครก แครก ทักทายกัน .....

นางฟ้าตัวน้อย กระซิบถามเบาๆ ระคนใคร่รู้ ของเดียงสาวัยว่า
"นกพูดอะไรกันพ่อ"

"พวกมันคงชวนกันไปทำบุญที่วัด เพราะวันนี้ เป็นศีลใหญ่ อาสาฬหบูชา"
"พรุ่งนี้ ก็จะเข้าพรรษาแล้ว ....ตลอดเข้าพรรษาเนี่ย ปรอด จะเป็นนกที่ดี เชื่อฟังพ่อแม่ ตื่นนอนแต่เช้า  ล้างหน้าแปรงฟัน และบินไปหาอยู่หากิน เป็นเด็กดี ใครเป็นเด็กดี ก็จะได้พบสวรรค์ นะลูก "

เธอเอื้อนแย้ง พร้อมแจงว่า
"มันจะไปบอกเพื่อนๆ ให้เลิกเหล้า ต่างหากละพ่อ เพราะเข้าพรรษาแล้ว "
"แล้วพ่ออยากไปสวรรค์ไหม? "
"ถ้าอยากไปเนี่ยนะ  ต้องเลิกเหล้า และรักษาศีล"
"ศีลจะทำให้ได้ไปสวรรค์นะพ่อนะ"

......เสียง แต้ แว้ด แครก แครก ของเจ้าปรอดก้นแดง ได้จางเสียงพร้อมลับหายในม่านฟ้าไปนานแล้ว แต่เสียงธรรมของนางฟ้าตัวน้อย ที่พร่ำสอนย้อนเอ่ย กระตุกกระตุ้นเตือน ผู้เป็นพ่อของเขา ยังกังวานในมโนสำนึก มิสร่างเบา.....

"เข้าพรรษาแล้ว ให้เลิกเหล้า เข้าพรรษา ....รักษาศีลนะ ....จะได้ไปสวรรค์"


วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อมพาย 3

(1)
ถึงอมพาย
คณะแยกย้าย
แจ้งแจก ธงหมาย
การมา เพื่อการใด
ข้าเห็น ไม่ต้อง
คำตอบก้องจากข้างใน
เพียงอยากยลยิน ความเป็นไปของเธอ
อมพาย


(2)
พุ่ม ซุ้ม สวน ดอกไม้
หลายแห่งเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย
หากประโยชน์ใช้คือเหตุ ของการมีและดำรงอยู่
การเปล่ามี พรากสูญ
ก็หาใช่ ไร้ความจำเป็นแห่งเนื้องานเสมอไม่

(3)
บนดอยสูงเหนือโรงเรียน
ข้าวไร่ ถูกลมไล้ใบเขียวลู่เอนเล่นลม ....สวยแท้
เธอก็ดั่งกัน ลมพายุปากท้องไล้ปะทะ
ยังหยัดต้น ยืนก้านใบ แห่งความเป็นเธอได้
อมพาย

(4)
ก่อนกลับ
แวะบ้านลุงเฮือน
ปีนี้
ความชรามาเยี่ยมเราสองมากขึ้น
เสียงหายใจบอกบ่งความล้า
แต่แววตา น้ำใจและมิตรภาพระหว่างเรา ไม่เคยจาง

ก่อนกลับ ลุงโต
ฝากมะเขือเทศถุงใหญ่
"บ่มีหยังเหื้อ เน้อครู"
ข้าค้อมหัวรับถุงไมตรีนั้น
ขอบพระคุณ พี่น้อง
ขอบคุณเธอ อมพาย
เธอดำรงความหมาย
ทายท้าสมัยนักฯ

สักวันข้าจะกลับมา
อมพาย

พิณ คืนเพ็ญ
เยือนอมพาย















วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อมพาย (2)

(1) ทางสู่อมพาย
ขยับขยายและลาดเทความสะดวกมากยิ่งขึ้น
หิมะแดงยามแล้งคราวก่อน เคยฟุ้งตลบไล่หลังรถกระหล่ำ
วันนี้ กาลเวลาได้เขมือบกินพวกเขา จนเกือบหมดสิ้นแล้ว
ทางตลอดสาย จึงกลายสี จากแดงเป็นดำ
แต่ทางก็ยังทำหน้าที่ ทาง ดังเดิม
............................................

(2) รถไต่ดอยวกวน คลอเคลียทิวสน บ้านแม่โถ
เหล่าผู้เฒ่าชาวม้ง พร้อมเด็กน้อย
จับเจ่าหลากหลายอริยาบถ
บ้างนั่งปักผ้า .....
บ้างปั่นด้าย ต่ำหูก.....
บ้างผ่าฟืน สับหลัว
บ้างเหยียดขา ทอดอารมณ์
บ้างอุ้มหลาน ป้อนข้าวน้ำ
ฝอยฝนจับขนคิ้วฉ่ำชุ่ม
พวกเขา อาบหมอกต่างน้ำ
...............................................
(3) อากาศที่นี่ เย็นสบาย
ชีวิตผู้คนเนิบช้า
ดูเมฆใหญ่ก้อนนั้นประไร
นานเท่าใด กว่าจะเลื่อนแลสลาย ข้ามดอยลูกโน้นได้
ลมฝนเย็นเยือกพรมฝอย ลอยห่ม มอร์สเฟิร์น
ตามไม้แลคาบ้าน เขียวครึ้ม คล้ายพรมและหนวดเครา
อากาศเยี่ยงนี้ พัดลมแอร์  หาจำเป็นไม่
แม่เฒ่าจึงดูหลาน แม่บ้านจึงต่ำหูก
หาฟืน เพื่อหุงหา ต้มเหล้าและอุ่นอิง
แม้วันนี้ .....
ฝูงหมอกอาจจางตาบ้าง แต่ความยะเยือกยังคงอยู่
ดูสิ ขนคิ้วหัวใจข้า ฉ่ำทาด้วย ฝนเม็ดงาม...เหล่านั้น
.......................................................

(4) ระหว่างทาง บ้านเคาะท่า
ก่อนโน้น
ข้ากับเพื่อนครู นำเด็กน้อย หาเก็บหน่อไม้ไปหมักดอง
ได้หลายสิบไห
กินหน่อเป็นแรมปี
เด็กๆ บอกว่า ผาโน้นมีถ้ำ มีขี้ค้างคาวด้วย
ดูไกลเกินตา เพราะไม้ใหญ่บังหู กอไผ่ยิ่งบังตา
เดินไม่ถึงดอก....
มันไกลเกิน....

วันนี้
ป่าไผ่ถูกแผ้วถาง ไม้เล็กใหญ่ ริมทางถูกตัดโค่น และหายไป
หายไปกับกะหล่ำ มะเขือเทศ ผักกาดขาว ในตลาดไทและห้างเมือง
หายไปกับ ไทเกอร์ วีโก้ ไมตี้....
ข้าพบว่า
ผาที่เด็กน้อยเคยบอกว่ามีถ้ำ
แท้ตั้งห่างไม่ถึงยี่สิบเมตร
มองเห็นทางเดินโล่งแจ้ง  หามีไม้แซมสักต้นไม่
แม้ใกล้เพียงคว้า และหามีอะไรบดบังหูตาอย่างเคย
ข้าก็ไร้เหตุและแรงจูงใจที่จะเดินไป
เดินคงเดินไม่ถึงดอก....
มันไกลเกิน .....








วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อมพาย(1)

.... ตื่นเต้นระคนดีใจ อย่างบอกไม่ถูก ที่ได้กลับไปเยือนถิ่นเก่า อย่างบ้านอมพาย (สันติสุข สันติธรรม ช่างหม้อ)....ก็ไม่รู้เหมือนกัน ...ว่าเพราะอะไร แต่เจ็ดปีของการใช้ชีวิตเทียนภู อยู่ท่ามดอยแถบนั้น มันฝังรอยเท้าความผูกพัน บนแผ่นศิลาแห่งความทรงจำ  ... ระหว่างเรา จนยากจะลืมเลือน......

...... เพื่อนพ้องน้องพี่ ในหมู่บ้านบางราย ได้กลายเป็นญาติสนิท ฝากผี ฝากไข้ 
.....เพื่อนครู ผู้ร่วมวิชาชีพบางราย ได้กลายเป็นกัลยาณมิตร แวะเวียน ถามไถ่ ห่วงใย  มิจางหาย
และบางใครคน วันนั้น ในวันนี้ ได้กลายเป็นคู่ชีวิต และหวังอาศัยฝากกาย ในยาม ชีพวางวาย...  
..... หลายปี ที่ผ่านมา จึงหวังในใจว่า สักวันหนึ่งจะกลับไปเยือนให้ได้....

..... ธรรมดาของสรรพสิ่ง ที่ดำรงการเปลี่ยนแปลง ตามเหตุปัจจัยอย่างสม่ำเสมอ...  ห้องเรียนซี่ไม้ไผ่ ติดเล้าไก่ ข้างถนน ...ห้องนั้น  วันนี้ถูกแทนที่ด้วยตึกสูงหลังใหม่ ...ใหญ่และมั่นคงกว่าเดิม

 .......ทางเดินเล็กๆ ราดลื่นดินเหนียว จากบ้านพักครูเซียง มายังโรงอาหาร ซึ่งเมื่อก่อนเราต่างเทียน เดินเวียนล้มลุก ไปแอ่วถามข่าวทุกข์สุขของพี่น้อง พร้อมร่ำจอกบุปผา ดีดพิณ ร้องเพลงกับมวลมิตร วันนี้ถูกแทนที่ด้วยคอนกรีต แสงไฟเสา สว่างไสว กันทั่วหน้า

....สวนกุหลาบเล็กๆ หน้าโรงอาหาร เคยออกดอก หยอกหมอกหนาว ในยามเช้า บางใครคนเคยแอบดม คราเจ้าของมิเห็น วันนี้ได้กลายเป็นบ่อเลี้ยงปลาดุก ปลาตะเพียน ในสวนจอกแหน

   .....ดอยสูงร้าง บนโรงเรียน คราวก่อนโน้นเป็นป่าหญ้าคา  นอกจากชาวบ้าน รายสองราย จะผ่านไปทำสวน ก็ไม่เห็นจะมีใคร ยกเว้น ...ผีบ้า ...ผีบ้าผู้สวมรองเท้าแตะ  ในมือมีเสียมกับถุงอะไรสักอย่าง เดินขึ้น เดินลง วันละหลายรอบ  แทบไม่มีใครสนใจ ว่าเขาไปทำอะไร ให้คุยด้วย ก็ไม่กล้า จนกาลเวลาผ่านไป ทุ่งร้างป่าคา ได้กลายกล้าเป็นสวนไผ่ ไม้ขนุน ชมพู่ หว้า ไม้สัก และอีกสารพัดสารพัน ของพรรณไม้ ดอยสูงจึงร่มรื่น รากไม้ยึดดิน มิให้พัง บดบังแดด มิให้ร้อน ทั้่งคน อาคาร และมด ได้อาศัย ...ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

    ... ผีบ้า ผู้นั้น ได้หายไปจากพื้นที่นานหลายปีแล้ว หายไปพร้อมๆ กับห้องเรียนเล้าไก่ ...หายไปพร้อมๆกับสวนกุหลาบ หายไปพร้อมๆ กับทางเดินเล็กลื่น สายนั้น  และหายไป พร้อมกับการเติบโต งอกงาม ของสวนไผ่ ไม้ขนุน เช่นกัน

.....ขอขอบพระคุณผีบ้า ผู้นั้น  ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ความงอกงามในจิตใจและแผ่นดิน อมพาย 
ขอบพระคุณวันเวลาที่เยื้องย่างทำหน้าที่ของมัน ขอบคุณการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้รู้สึกถึงการมีอยู่ ...อย่างน้อย การมาหารอยอดีตของใครบางคน... แม้นมิอาจคว้าจับในบางสิ่งได้ แต่มั่นใจว่า ความรู้สึกร่วมและดี ในอดีตมันดำรงอยู่   

......ลมลู่เอนกิ่งไผ่ไหวงาม โยกเอนเอ่นต้น ....งดงามแท้ ....รอยทางวันเวลา นอกจากจารจด การเปลี่ยนแปลงให้เป็นทุน  ยังได้ให้ ความงดงาม เป็นกำไร อีกทอดหนึ่ง ซึ่งอาจจะแผกแตกต่างบ้าง ก็ตรงที่ ใครจะจดจำอะไร ไว้ที่ใด เท่าใด    
......สำหรับผมและสำหรับ อมพาย  แผ่นศิลา น่าจะเป็นคำตอบ....
 

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เข้าพรรษา

....... .....เข้าพรรษา เป็นช่วงเวลาที่ใครหลายๆคน ถือเอาฤกษ์ในการลด ละ เลิก อบาย นัยว่าปีหนึ่งได้หยุดเลิก ละ สักสามเดือน เลียนพระสงฆ์องค์เณร บางอย่างบ้างก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเสียเลย  .....

............สิ่งที่นิยมกันและเห็นมาตลอด คือ การรักษาศีล ไม่ว่าศีลห้า ศีลแปด ให้บริสุทธิ์ กินเจบ้าง มังสวิรัติบ้าง ทำสมาธิบ้าง ตามศรัทธาสะดวกของแต่ละคน นอกจากนั้น บรรดาผู้ชื่นชอบบรรยากาศในการร่ำเมรัย ก็จะอาศัยห้วงยามนี้หละ  ละเหล้าเข้าพรรษา หลายรายทำได้ ดังจิตอธิษฐาน ทำเอากองเชียร์ เมียลูก ดีใจไปตามๆ กัน .....แต่ก็มีไม่น้อย เช่นกัน ที่ทำไม่ได้ เพราะพรรษาแตก   เข้าพร้อม แต่ออกก่อนพระ สี่ห้าปีมานี่ ผมเอง ก็จัดเป็นสมาชิกกลุ่มหลังนี้ เสมอต้นเสมอปลาย เสียด้วยซ้ำ ไม่ขาดพร่องสักหนเดียว

............มาปีนี้ ตะวันชีวิตเริ่มบ่ายแล้ว รำพึงกับตนว่า หากยังดื้อดัน เยี่ยงนี้ โรคาพยาธิอาจรุมเร้า และคงไม่มียาที่ไหน จะมารักษาสุขภาพให้ดีได้แน่ เอากันเป็นกันว่ะ

"พระเข้า เราจะออก พระออก เราจะเข้า..."

 เพราะอะไรนั่นนะหรือ ก็เพราะว่า ตนเองไม่ชอบดื่มคนเดียว หากมีพรรคพวกเพื่อนฝูงร่วมสนทนา วงบุปผาจึงจะเกิด ฉะนั้น ช่วงเข้าพรรษา สมาชิกกลุ่มแก๊ง เขาละเลิกกันหมด เหลือตัวคนเดียว  ก็ไม่มีเหตุผล ที่จะดื่ม ครั้นช่วงออกพรรษา  ทุกคนกลับมา  ตนก็ต้องตั้งจิตและละให้ได้ เพราะเชื่อมั่นว่า หากผ่านสามเดือนได้แล้ว เก้าเดือนที่เหลือ ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด  นี่คือทาง ที่วาดวางไว้

เอาก็เอาวะ ลองสักตั้ง ให้กำลังใจ ตนเอง