วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ครู

คูน้ำเก็บน้ำ...เลี้ยงปลา
คูนากั้นนา.... ปลูกข้าว
ครูคนบ่มเพาะ....ตนเรา
ขัดเกลาเขลาขลาด....ให้ปราชญ์คน

                                   

 

 หวนคำนึงถึงทุ่งสักอาศรม
ขณะนั่งรถทัวร์กลับเชียงใหม่
   ยามเช้า 30 เมษายน 56

ค่ายครูรักเขียน









คำครู


    คุณครู ศิวกานท์ ปทุมสูติ
ท่านส่งฟืนให้จุดไฟแห่งปัญญา
    ขอบพระคุณครับครู

       พิณ คืนเพ็ญ
     กลับจากอีสาน
        30 เมษา 56

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

ฝน

จันทร์เพ็ญ แต้มค่ำนวล
ฟ้าหลั่งน้ำตาได้ด้วยหรือ
โอ...ฝนจักจั่น







 












      คืนเพ็ญ
ค่ายครูรักเขียน 2
   ณ ลานเปิดใจ
ทุ่งสักอาศรม สุพรรณบุรี
     24 เม.ย.56




วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

ดีชั่วจน ใช่ทนขอ ง้อใครกิน


"...เหยียบให้จำ ย่ำให้จม ถมให้มิด 
กดให้ติด ชิดดิน  ถิ่นต่ำต้อย
ถีบเซซัง ถางถาก กระชากข้อย
อย่าได้ปล่อย ลอยหน้าได้ ในเมืองคน
คนสักคน เดินได้ ก็ล้มได้
อย่าอวดใหญ่ เมื่อเขาล้ม รีบถมถน
อย่าพรวดพราด ปราดปรี่ ตีตราคน
ดีชั่วจน ใช่ทนขอ พ่อใครกิน....."
            ผมไปติดต่อยืมเงินสวัสดิการจำนวนหนึ่งจาก หน่วยงานต้นสังกัด เพื่อมาสำรองจ่ายค่าประกันชีวิต ตามกรมธรรณ์ของผมและลูกสาว ซึ่งครบกำหนดต้องส่ง ปลายเดือนนี้  มันก็เป็นเงินหลายหมื่นอยู่เหมือนกัน คิดหน้าคิดหลังหลายตลบ ...จึงจบลงด้วยการยืมเงินส่วนนี้ออกมาใช้ก่อน ...ที่เหลือจะใช้จ่ายตามรายทางและความจำเป็นอื่นของชีวิต ....
          แต่มีคนคนหนึ่ง เขาทำให้ผมรักตัวผมมากขึ้น เขาทำให้ผมตระหนักรู้และยืนหยัดในเกียรติภูมิของตัวผมเองมากยิ่งขึ้น แม้คำพูดทีเล่นทีจริงของเขาว่า 
  ".... เงินก้อนนี้ ยืมไปจะคืนได้เหรอ...  พร้อมหัวเราะเสียงดัง ...."
ผมสะอึกอึ้ง กับคำพูดเช่นนั้น ใจดวงน้อยของผม ถูกลุกลานย่ำเหยียบ เลือดแดงซ่านเต็มหน้า อัตตาตัวกูของกูขึ้นเต็มที่ ผมนับหนึ่ง สอง สาม... จนถึงสามสิบ แล้วยิ้มและรีบเดินออกไปจากวังวนคนใจร้ายเช่นนั้น
ผมไม่คิดโต้ตอบหรือ ทำอะไร.... เพราะผมตระหนักรู้ว่า ชีวิตเขา มันย่อมเป็นของเขา เขามีสิทธิ์คิด พูด ทำอะไรก็ได้ดังใจเขา แต่อย่างน้อย สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ควบคู่ตามมาคือ ทุกคนต้องกันพื้นที่ให้กับความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นด้วยเสมอ ....
.....ใช่สิ ! ในยามจนยาก ทรัพย์สินเงินทอง คุณคงมองถึงได้ เพียงแค่ความฝัน  สิ่งสำคัญคือจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสุด .... ที่แม้จะเขินขาดอาภรณ์หุ้มห่อเนื้อหนัง ก็ยังเปล่งประกายงดงามได้.....
......วันนี้การที่ใครสักคน จะหยิบยืมความเป็นส่วนตัวของเขาออกมาใช้นั้น  มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา
...เขาคงคิดพิจารณาดีแล้วหละ อย่างน้อยก็บนพื้นฐานของความจำเป็นและเหมาะสม ฉะนั้นแล้ว แม้แต่คิดทัดทาน ผมก็ยังมองว่ามันมากไป นี่ไม่นับคำถางถาก " จะใช้คืนได้เหรอ.." หรอกนะ มันมากไปจริงๆ มากและสุดวิสัยของคนมีสติปัญญาดีๆ จะคิดได้ และพูดได้  ถ้าหากไม่ พิกลพิการทางจิตวิญญาณอย่างว่า จริงๆ  ไม่มีทางจะพรูพรั่งคำพูดเช่นนี้ได้แน่แท้หรอกกระมัง ....
 .....มนุษย์เราเอ๋ย .....อย่าย่ำหยามหยันกันเลยนะ เวลาของการอยู่ร่วมกันของพวกเราช่างน้อยนิด ไม่เกินร้อยปีก็ตายจาก ...คุณอยากให้การตายจากคือการสาบสูญของทุกสิ่งกระนั้นหรือ ...ผมว่าไม่เป็นธรรมนะ อย่างน้อย สิ่งที่ควรเกิดใหม่เพื่อถ่ายเทจากการล้มหายตายจาก น่าจะเป็นจิตวิญญาณอันงดงามและคุณความดีของมวลมนุษย์ที่ได้ร่วมกันกระทำ ณ ห้วงยามที่ได้อยู่ร่วมโลกเดียวกัน
...... ผมยิ้มหวานพร้อมๆ กับการปฏิเสธ เงินอนาคตของผมก้อนนั้น อย่างน้อย มันก็ไม่ควรได้มา ด้วยการที่ใครสักคนไม่เห็นค่าคนเหมือนกัน.... เพราะเงินเรือนแสนเรือนล้าน ก็ไม่สามารถซื้อขายจิตวิญญาณของความเป็นคนได้จริงๆ
.....จากนี้ไป กองทุนนี้ ผมจะฝาก  ฝากและไม่คิดจะหยิบยืมแม้แต่สตางค์แดงเดียว ...อย่างน้อยก็อยากให้รู้ไว้ว่า อย่าว่าแต่ยืมเลย ฝากโดยไม่ยืมผมก็ทำได้
อย่างน้อย มันก็สอนให้ผมร่ำรวยด้วยเกียรติภูมิและจิตวิญญาณ  หลังเดินออกจากห้องหับคับแคบเยี่ยงนั้น สุขใจ....อย่างประหลาด
       พิณ คืนเพ็ญ
     18 เมษายน 56
 
 

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

บ้าน


ไผ่สับฟาก ถากเป็นแคร่ แปรเป็นบ้าน
แอ้มฝาสาน ขัดลาย ได้กั้นหนาว
มุงหญ้าคา มุงฟ้า กั้นหมู่ดาว
กั้นฟ้าเจ้า ไม่ให้ช้ำ มาต่ำดิน

เพียงไม้หลอม รอมรวมมัด จัดเป็นย่าน
สร้างเป็นบ้าน ตั้งชานเรือน ตั้งรกถิ่น
บนสันภู ยอดไพร ไกลนครินทร์
ได้เป็นถิ่น เกิดพันธ์เผ่า ปกาเกอญอ

อยู่กับป่า กินกับป่า ต้องรักษ์ป่า
คือคาถา ถือครอง ครรลองต่อ
สืบสลัก ถักไศล ไม่ทดท้อ
จากรุ่นพ่อ ต่อรุ่น ดรุณวัย

โลกทัศน์ จัดสำนึก ระลึกรู้
ชีพยังอยู่ เพราะป่ายั้ง ยั่งยืนได้
คนตายจาก หากป่า มลายไป
จึงรู้ใช้ ธรรมชาติ แค่พองาม

บ้านจึงเป็น เช่นบ้าน ย่านแค่นี้
ไม่ได้มี ปราสาท ให้วาดถาม
ไม่ได้โอ้ อวดแต่ง แบ่งกั้นความ
เพียงลมวาม แผ่วไล้ ใจสุขแล้ว



                   พิณ คืนเพ็ญ
พาคณะเยี่ยมนักเรียนทุน บ้านแม่ปุ๋น แม่สะเรียง
                    17 เมษา 56


ขอบพระคุณ รูปภาพประกอบจาก http://www.maelanoi.net/index2.php?do=gallery&album_id=15



วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

ฤดูกาลของชีวิต

เมื่อวาน
บ่ายแก่ แดดร้อน จนปวดหัว
ตกเย็น เย็นดึก จนต้องห่มผ้า

วันนี้
เช้าอ่อน แดดงาม เย็นสบาย
บ่ายแก่ ฝนพรำ ฉ่ำกาย ฉ่ำใจ และหอมดินฝน

ธรรมชาติรอบกาย มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง 
ธรรมชาติของชีวิต มีสุข ทุกข์ คลุกเคล้ากันไป
ธรรมชาติรอบกาย เปลี่ยนไป ตามเงื่อนไขของฤดูกาลฟ้าฝน
ธรรมชาติชีวิต เปลี่ยนไปตามเงื่อนไขของฤดูกาลของชีวิต
ใครจะพ้น ธรรมะ นี้ได้เล่า

พิณ คืนเพ็ญ
    แม่ลิด
สงกรานต์

กบฎ

        2-3 วันมาแล้ว ผมปล่อยสายพานของงานบางอย่างที่ร้อยรัด ให้เอนสายและยานยาว ทอดน่องตามลำธารโค้งคดของชีวิตที่เอื่อยไหล มันก็ไม่ดีสักปานใดดอก ที่โลกทุกวันนี้ คนเราแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดฉี่ ไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดนิ่งหรือฉุกคิด เพราะทุกทิศถูกเคี่ยวเข็ญเข้าสู่ลู่ลานของการแข่งขันมาโดยตลอด ทุกคนวิ่งด้วยอัตราแรงเร็ว เป็นที่สุด ดังนั้น หากใครสักคน เฉื่อยชาต่อสภาพความเป็นไปดังกล่าว จึงนับเป็นกบฎแห่งยุคสมัยไม่น้อยทีเดียว

        อย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว จะเข้าข่ายเป็นกบฎของยุคหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ แต่การได้ถอดหมวกบางใบบนหัวออก มันช่างทำให้ก้อนความรู้สึกกดทับบางอย่าง บางเบาลงได้ นี่ยังไม่นับการหลุดลุ่ยออกจากวังวนความคิด ที่หมุนวนในนาวาของชีวิต ทีละน้อยๆ ที่ถูกกัดเซาะด้วยกระแสธารแห่งเวลา แล้วทำให้ตะกอนอารมณ์บางอย่าง หลุดลอยหายไปไกลลับตา

           ระหว่างทางของวันเหนื่อย ผมมีโอกาสได้พบเพื่อนเก่าสองคนพร้อมๆ กัน นอกจากพูดคุยสารทุกข์สุขโศกของใครมันแล้ว เราก็มาย้อนเข็มนาฬิกากันอีกครั้ง ด้วยเหล้าเก่าติดรถค่อนขวด..ว่าไปแล้ว ผมเว้นระยะกับเหล้ายามาบ้างพอควร  เนื่องจากพักหลัง สุขภาพไม่ค่อยจะอำนวย ดื่มมากเหมือนก่อนไม่ได้ ยกเว้นแต่มีบรรยากาศ หรือได้พื้นที่เล็กๆ สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ทางจิตวิญญาณให้ตนเอง ผมจะเต็มที่กับมันทุกครั้ง ชาร์จจนหลับก็มีเหมือนกัน  เรานั่งซุ้มอาหารติดริมน้ำ อากาศร้อนๆ อย่างนี้ ที่นี่นับเป็นคำตอบที่คู่ควรกับคำถามของใครหลายๆ คน

           เพื่อนคนนึง ถามถึงเรื่องงาน อีกคนก็โยงถึงเรื่องครอบครัว ....ผมยิ้มแห้งๆ แทนคำตอบ ทำให้เพื่อนไม่ซักไซ้ไล่เรียงเท่าใดนัก ไม่ได้รู้สึกอายที่จะปลอกเปลือกความเป็นไปของชีวิตให้ใครต่อใครได้รับฟัง ยิ่งเป็นเพื่อนที่สนิทชิดเคยกันแล้ว มักจะระบายทุกคราวครั้ง ถ้าเขาอยากรู้ แต่สำหรับครั้งนี้ รู้สึกเหนื่อย และล้าเต็มที ที่จะตอบตัวเอง ว่าทำไมยังต้องให้คนอื่นได้ถามอยู่เช่นนี้ ....ผมเข้าใจความรัก ความปรารถนาดีของเพื่อนๆ แต่มันก็จุกลิ้นปี่ ทุกทีที่ได้ยินคำถาม.... แม้ขนาดตัวเราเองยังหนักอึ้ง ใยต้องให้คนอื่นแบกหนักกับเราไปด้วยหละ... เอาล่ะ เอาเป็นว่า ผมสบายดี มีความสุขดี ก็คงน่าจะพอ ....ผมสุ่มสี่สุ่มห้าตอบคำถามไปอย่างนั้น..... มันแผ่วเบาอยู่ในภวังค์ คงมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน และมีเพียงตนเองเท่านั้น ที่รับรู้ว่าความจริงแล้ว เป็นเช่นไร....

           ฟ้าค่ำนานจวนย่ำเย็น เล่นเอาพวกเซไปเพราะฤทธิ์เมรัย แต่ก็ถือว่าพองาม หลังจากย้ายที่มึนเมาหลายรอบ ก็ถึงเวลา  .....ทุกคนจึงได้ล่ำลาและแยกย้ายกันกลับ นานมากแล้ว แม้แสงไฟท้ายรถก็ลับตา แต่ผมพบว่า ตัวเองยังยืนเปลี่ยวปะปนกับความมืดของราตรีที่หม่นหมอง
..........อืมมม ค่ำคืนอันเนิ่นช้า เส้นทางอันยาวไกล นอกจากความเงียบและเหงาแล้ว ผมแทบมองไม่เห็นอะไรอีกเลย.....   ผมซุกตัวอยู่ในความมืดด้วยความอิดโรย ขณะที่จิตวิญญาณของกบฎก็ซุกอยู่ในใจอันอ่อนล้า 

     ".... กลับบ้านเถอะ กลับบ้านนนน...."
    เสียงเพรียกจากรัตติกาลอันหมองหม่น ทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์  แทบไม่น่าเชื่อว่า ความเดียวดายมันโหดร้ายและเที่ยวหลอนหลอก ได้ถึงปานนี้ แม้แต่ในฝันก็ยังไม่ปราณี อย่างน้อย วันนี้ก็ไม่ใช่หนแรกที่พบพาน....

          ผมจอดรถข้างเงาป่า ใกล้ริมน้ำ ติดร้านที่เคยดื่มกินตอนหัวค่ำ เอนหลังพร้อมๆ ปรับเบาะลงราบแทบขนานพื้น มือหมุนลดระดับกระจกรถ พอให้อากาศถ่ายเทได้ จากนั้นก็เปิดเพลงฮำคลอเบาๆ    ยุงสี่ห้าตัว บินว่อน ร้อง วีๆๆ ระงมหู ชวนรำคาญยิ่งนัก แต่ก็ยังดี เพราะอย่างน้อยยังมีเพื่อนบรรเลงกล่อมเพลงฝัน..
...... ในห้วงยามอัตคัดของไมตรีแล้ว คนเราก็ควรมองให้เห็นสิ่งดีๆ จากอมิตรให้ได้ แม้ยากที่จะฝึก แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ที่จะต้องเข้าใจ...เพราะนี่เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ของคืนค่ำอันเดียวดาย

          เมื่อหัวแตะเบาะ ผมก็เผลอหลับไป ช่างเป็นการหลับใหล ที่ปิดกั้นการเข้าถึงของความเหงาได้ถนัดถนี่ยิ่งนัก แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม ผมต้องตวงตัก ....ใช่จะเิกิดได้ทุกทีเสมอไป อย่างน้อย วันนี้ ก็นับเป็นหนแรกที่ได้พบพาน....และก็ยังไม่รู้อีกนานสักเท่าใด จึงจะได้พบเจอ....

 ....ช่างมันเถอะ ...ยุงกัดก็แค่ลายแข้ง บ้างก็เกิดผดที่แขนขา ใช่ผุดผื่นขึ้นในหัวใจก็หาไม่ ผมสบถดังๆ กับตนเอง

....มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เราต้องกล้าที่จะหลับให้ได้ กล้าที่จะฝันให้ได้ ขอเพียงพื้นที่เล็กๆของฝัน รังสรรค์ความวิเวกภายในก็เป็นพอ ...ผมสำทับความมั่นใจให้กับตนอีกครั้ง

โอวว์... ในโลกอัตคัดความสงบนั้น คนเราช่างกล้าที่จะบนบาน.... แม้กระทั่งกับความฝัน ยังหาญหวังอ้อนง้อ...
อืมมม....เพียงเพื่อให้ได้ผ่อนพักและพบเจอสิ่งที่ต้องการ แม้รู้ทั้งรู้ว่า ความจริงเป็นเช่นไร รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่หวัง เดินหันหลังออกไปจากความจริง ก็ตามที .....

.....ใช่สิ.....ถึงแม้ความฝันจะหลอนหลอกหลายรอบ แต่ก็ยังปราณี อย่างน้อย ก็ยังมีพื้นที่เล็กๆให้พบพาความสงบสุขอยู่บ้าง

.....ในพื้นที่เล็กๆ อันน้อยนิดของความฝันนี้ มิใช่หรือ ที่กันพื้นที่ ให้ได้สัมผัส ความจริงอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า สงบสุขได้

ผมข่มตาหลับอีกครั้ง เพราะรู้ความจริงว่า ทางเดินของคนคนหนึ่งนั้น มีไม่มากนัก....อย่าว่าแต่โลกของความจริงเลย แม้แต่ในฝันภวังค์ ห้วงยามนี้ ความสุขยังถูกไล่ต้อน....
"ไปตามหาความสุขในความฝัน  ไปหาสุขในฝัน ไปหาสุขในฝัน ...."

อืมม... ราตรีนี้ น่าจะมีกบฎเพิ่มขึ้นอีกสักคนแล้วหละ ผมสบถกับตนเอง ก่อนจะหาญข่มตาหลับฝันอีกคำรบสอง....

           พิณ คืนเพ็ญ
       ฝนสาดปีใหม่ไทย
     โรงเรียนบ้านแม่ลิด
              15/4/56



วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

เลี้ยงรุ่น ครุ่นคิด ถึงทิศตน

 "ห้วยคะคาง คดโค้ง ยังคงไหล
ดอกพะยอม บานไสว กลิ่นหอมหวาน"
มาเถิดหนา ขวัญเจ้า คืนเรือนชาน
คืนสู่บ้าน กลับสู่เหย้า เราเคยอิง...

แก่งเลิงจาน  ตะวันแลง  แหล่งผ่อนพัก
บึงน้ำหลัก หนุ่มสาว เจ้าหนุงหนิง
ปลาหมอใหญ่ ว่ายต้องบัว เห็นตัวติง
งามเสียจริง หนองเป็ดน้ำ ยามย่้ำเย็น

เสียงเพลงแคน แล่นตรอย ลอยลัดหล้า
คิดฮอดสาว หอดอกฟ้า คราได้เห็น
ศิริพรรณ หอป่าแก หอยายเพ็ญ
หอหนมเส้น หอ ว.พ. หอบ้านโนนฯ

ซุ้มสบาย หน้าป้าย วีเจมาร์ท
ราชภัฎ หน้าตลาด งามหน้าสน
หอบ้านนอก หอไฮโซ หอคนจน
หอของคน ไร้หอห้อง ของหัวใจ

ปีสามเก้า เข้าเรียน เพียรจนจบ
ได้พานพบ ประสบการณ์ อันหลากหลาย
มีเพื่อนพ้อง ร่วมทาง ตั้งมากมาย
ทั้งหญิงชาย  เผ่าผู้ไท ลูกภูลาว

ลานกลางแจ้ง ดุจลานแต่ง แห่งชีวิต
ลานนิสิต ลูกชาวนา ได้สร้างสรรค์
ผ่านลีลา ดนตรี คีตวรรณ
พระพิรุณ นามท่าน คือพ่อเรา

คิดถึงต้น ฉำฉา มะขามใหญ่
พะยอมไพร บานใบ บังแดดเหงา
ดอกจานเบ่ง บานดอก แสดงามเงา
 ภาพวันเก่า ย้อนหยอก ตอกย้ำใจ

เพื่อนทางไกล ชวนคืน วันคืนเก่า
ทบทวนเท้า ที่ย่างกาย สู่หนไหน
เดินไปหน้า ย่ำกับที่ หรือหนีไกล
ลำบากไหม เจ้าพานพบ ประสบมา

จึ่งจัดงาน สังสรรค์ ฉันพ้องเพื่อน
เพื่อย้ำเตือน วันเก่า มิเปล่าค่า
เพื่อชวนคิด ทิศทาง พัฒนา
ให้รู้ค่า เวลางาม ชีวิตคน

ห้วยคะคาง คดโค้ง ยังคงไหล
ดอกพะยอม บานไสว ริมถนน
ดอกชีวิต เราบานค่า ไม่ละตน
บานจนกว่า ชีพชน จะวายวาง

มอบบทกวีนี้แด่เพื่อนพ้อง ฟิสิกส์ 39 ทุกคน
            ปีหน้าคงมีโอกาสได้ร่วมงาน
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันงามของพวกเรานะครับ

                พิณ คืนเพ็ญ
      คนสันภู ดอยแม่ลิด แม่สะเรียง

             11 เมษายน 56





แคน

แคนของเจ้า เสียงนัว
หวานม่วน แท้น้อ พ่อเอ้ย
เฮ็ดให้ คึดฮอดบ้าน
โงโค้งต่าวหลัง
ซุมหมู่หลาน ออกจากบ้าน
... ไปต่าง แดนไกล
น้ำตาไหล รินฮำ
ยามได้ยิน แคนเจ้า
มีเทิงหวานแกมเศร้า
ขมคอฮอ กะเดาแก่
ม่วนใจ ข่อยคักแท้
พออยากย้อน หย่อนขา พู้นแล้วววว ...เฒ่าพ่อเอ้ย
    พิณ คืนเพ็ญ
 
ลายน้อย
สมบัติ สิมหล้า หมอแคนอัจฉริยะ สมบัติของแผ่นดิน

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

ผญา

ใกล้เมษา มีนาคล้อย ผนปรอยๆฮำซ่อม่วง
 พวงผกาป่งช่อ ลวงล่อหมู่แมลง
 หมากสะแบงแดงเป็นปุ้ม ดอกจานบานทั่วท่ง
 ดอกมันปลาเตรียมป่งก้าน ขะยอมนั้นกะดั่งกัน
 รอวันมื้อ ขจรไกลกระจายกลิ่น
 รอมีนาสิ้น เตรียมจ้อสิเบ่งบาน
 
ไม้อีสานบานยามแล้ง หอมยามแลงแดดอ่อนๆ
 ออนซอนฝูงภู่เผิ่ง โลมไล้ดูดดม
 พรมพรำเพลี้ยใบม่วงเป็นยางเหนียว
 หัวกระเจียวหลบในดิน หลับไหลบัดยามแล้ง
 
กระปอมแดงอีก่าน้อย ตอดเงาเอิ้นเพรียกคู่
 ฝูงหมู่กาและนกเอี้ยงเสียงฮ้องส่วนแซว
 อยู่ตามแนวป่าไม้ กินหมากไฮ หมากม่วงหมั่ง
 อยู่ตามฝั่งขอบห้วย นกยางจ้องส่องปลา
 
อยู่ตามนาป่าไม้ เสียงใสๆ ฟังไปแล้วใจสั่น
 เสียงจั๊กจั่นแมงอีน้อย เซ็งแซ่แล้วเปลี่ยวใจ แท้น้อ..
 ฟังไกลๆมาคือเสียงน้อง ฮ้องสั่งว่าไกล
 บ่มีวันคืนหวน อดีตกาลเคยหวานชื่น
 วันคือที่ลับล่วง คือผลพวงให้ฮักห่าง
 อยู่กลางท่ง อ้างว้าง แมงฮีฮ้อง แฮงฮ่ำฮอน
ผมได้ผญาและรูปภาพมาจาก เฟสของมูลมังอีสาน ออนซอนภาษางดงามยิ่งนัก เลยขออนุญาต นำมาเก็บไว้ในบล็อกส่วนตัวนะครับ ขออนุญาตและขอบพระคุณหลายๆ มา ณ โอกาสนี้ครับ

ใกล้เมษา มีนาคล้อย ผนปรอยๆฮำซ่อม่วง
พวงผกาป่งช่อ ลวงล่อหมู่แมลง
หมากสะแบงแดงเป็นปุ้ม ดอกจานบานทั่วท่ง
ดอกมันปลาเตรียมป่งก้าน ขะยอมนั้นกะดั่งกัน
รอวันมื้อ ขจ...รไกลกระจายกลิ่น
รอมีนาสิ้น เตรียมจ้อสิเบ่งบาน

ไม้อีสานบานยามแล้ง หอมยามแลงแดดอ่อนๆ
ออนซอนฝูงภู่เผิ่ง โลมไล้ดูดดม
พรมพรำเพลี้ยใบม่วงเป็นยางเหนีย
หัวกระเจียวหลบในดิน หลับไหลบัดยามแล้ง

กระปอมแดงอีก่าน้อย ตอดเงาเอิ้นเพรียกคู่
ฝูงหมู่กาและนกเอี้ยงเสียงฮ้องส่วนแซว
อยู่ตามแนวป่าไม้ กินหมากไฮ หมากม่วงหมั่ง
อยู่ตามฝั่งขอบห้วย นกยางจ้องส่องปลา

อยู่ตามนาป่าไม้ เสียงใสๆ ฟังไปแล้วใจสั่น
เสียงจั๊กจั่นแมงอีน้อย เซ็งแซ่แล้วเปลี่ยวใจ แท้น้อ..
ฟังไกลๆมาคือเสียงน้อง ฮ้องสั่งว่าไกล
บ่มีวันคืนหวน อดีตกาลเคยหวานชื่น
วันคือที่ลับล่วง คือผลพวงให้ฮักห่าง
อยู่กลางท่ง อ้างว้าง แมงฮีฮ้อง แฮงฮ่ำฮอน

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

Yes I Can



 













จักเหงา สักกี่คืน จึงกลืนเหงา
จักเศร้า สักกี่เศร้า จึงเศร้าคลาย
จักวาด สักกี่หวัง จึงจักได้
จักท้าย สักกี่ท้าย จึงท้ายสุด

ดุ่มโดด เดียวดาย ท่ามไพรกว้าง
อ้างว้าง ล่องลอย มิคล้อยหยุด
จิตจร ท่องไกล ในจรยุทธ์
หาที่สุด หยุดย่าง ยังไม่มี

คนเรา เมื่อล้ม ก็ต้องลุก
ปัดฝุ่นคลุก ยืนยิ้ม แล้วสู้สิ
หาดูเถิด เพื่อนใด ในปฐพี
ชั่วชีวี ไม่เคยล้ม ไม่เคยมี

ขงจื้อบอก เกียรติยิ่งใหญ่ ในโลกหล้า
มิใช่ว่า ไม่เคยก้าว เท้าพลาดนี่
อยู่ที่ล้ม ดมดิน ทุกคราวที
ลุกขึ้นชี้ ทายท้า ทุกครายัง?

ต่อแต่นี้ เริ่มลุกเดิน เพลิดเพลินน่อง
เริ่มประลอง ท้าเหงา เศร้าหวัง
เริ่มจากตา มองเห็นทาง มีพลัง
เริ่มตั้งหวัง ฉันทำได้ YES I CAN......

            พิณ คืนเพ็ญ
เย็นครื้นเสียงแห่ส่างลองแม่สะเรียง
       ครึ่งทางก่อนสงกรานต์ 56

บวชป่า กลางใจคน

แดดลอดใบ ไล้ลูบแสง แต่งใบไม้
อาบผิวไพร งามฉาบ ทาบภูผา
ใบกล้วยอ่อน อ้อนแสงเช้า เย้ายวนตา
งามนักหนา แม้ใบแห้ง แต่งลานดิน
 
พี่น้องฉัน พร้อมใจกัน ร่วมสรรค์สร้าง
บุ่นเบิกทาง จิตรักษ์ ปัก ไพร สินธุ์
ปกผืนป่า คืนคุณค่า อุดมดิน
ให้ยังถิ่น ดิน ป่า น้ำ ค้ำชีพชน

อยู่กับป่า กินกับป่า ต้องรักษ์ป่า
บทเพลง ธา ปู่สอนหลาน นานกาลหน
ป่าคือครัว ห้องหอ เสื้อ ยา ชน
ทุกสิ่งท้น ล้นจากป่า มาเลี้ยงคน

ประชาชน ล้นหลาก จากทั่วทิศ
รวมดวงจิต หนึ่งใจ เพื่อไพรสณฑ์
ร่วมบวชป่า บวชที่ใจ ในกมล
บวชที่ตน รู้จิตรักษ์ พิทักษ์ไพร

หลวงพ่อสวด มนตรา คาถาส่ง
ช่วยเสริมพงศ์ ให้คง ยืนต้นได้
ให้ใบไม้ แตกไม้ ได้ดกใบ
ผลิก้านไกล อุดมค่า เกินกว่าคิด

เสียงหมูร้อง โหยหวน รัญจวนจิต
คมมีดกรีด ยื่นความตาย ถวายแถน
เซ่นเจ้าป่า เลี้ยงเจ้าเขา ในดงแดน
หมูตายแทน เพื่อถ่ายเกิด กำเนิดไพร
ตายเพื่อแทน กำเนิดก่อ ต่อชีพไพร

      พิณ คืนเพ็ญ
พิธีบวชป่า ต้่นน้ำแม่จอคี
แม่นาจางเหนือ แม่ลาน้อย
      ต้นเมษา ฤดูเผาไร่

  























     











 





เสลาสลักจากจิตวิญญาณ

แขน แล ขา ดุจอาภรณ์ ของงานสร้าง
เครื่องมือช่าง ประกอบพูน หนุนนำส่ง
ไม้พังผุ ผ่านซอนซัก ประจักษ์ทรง
ใจตั้งตรง สร้างสลัก จากจิตวิญญาณ
...ขอ Like ให้เกับคนสู้ชีวิตหน่อย
 พิณ คืนเพ็ญ