วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

กบฎ

        2-3 วันมาแล้ว ผมปล่อยสายพานของงานบางอย่างที่ร้อยรัด ให้เอนสายและยานยาว ทอดน่องตามลำธารโค้งคดของชีวิตที่เอื่อยไหล มันก็ไม่ดีสักปานใดดอก ที่โลกทุกวันนี้ คนเราแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดฉี่ ไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดนิ่งหรือฉุกคิด เพราะทุกทิศถูกเคี่ยวเข็ญเข้าสู่ลู่ลานของการแข่งขันมาโดยตลอด ทุกคนวิ่งด้วยอัตราแรงเร็ว เป็นที่สุด ดังนั้น หากใครสักคน เฉื่อยชาต่อสภาพความเป็นไปดังกล่าว จึงนับเป็นกบฎแห่งยุคสมัยไม่น้อยทีเดียว

        อย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว จะเข้าข่ายเป็นกบฎของยุคหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ แต่การได้ถอดหมวกบางใบบนหัวออก มันช่างทำให้ก้อนความรู้สึกกดทับบางอย่าง บางเบาลงได้ นี่ยังไม่นับการหลุดลุ่ยออกจากวังวนความคิด ที่หมุนวนในนาวาของชีวิต ทีละน้อยๆ ที่ถูกกัดเซาะด้วยกระแสธารแห่งเวลา แล้วทำให้ตะกอนอารมณ์บางอย่าง หลุดลอยหายไปไกลลับตา

           ระหว่างทางของวันเหนื่อย ผมมีโอกาสได้พบเพื่อนเก่าสองคนพร้อมๆ กัน นอกจากพูดคุยสารทุกข์สุขโศกของใครมันแล้ว เราก็มาย้อนเข็มนาฬิกากันอีกครั้ง ด้วยเหล้าเก่าติดรถค่อนขวด..ว่าไปแล้ว ผมเว้นระยะกับเหล้ายามาบ้างพอควร  เนื่องจากพักหลัง สุขภาพไม่ค่อยจะอำนวย ดื่มมากเหมือนก่อนไม่ได้ ยกเว้นแต่มีบรรยากาศ หรือได้พื้นที่เล็กๆ สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ทางจิตวิญญาณให้ตนเอง ผมจะเต็มที่กับมันทุกครั้ง ชาร์จจนหลับก็มีเหมือนกัน  เรานั่งซุ้มอาหารติดริมน้ำ อากาศร้อนๆ อย่างนี้ ที่นี่นับเป็นคำตอบที่คู่ควรกับคำถามของใครหลายๆ คน

           เพื่อนคนนึง ถามถึงเรื่องงาน อีกคนก็โยงถึงเรื่องครอบครัว ....ผมยิ้มแห้งๆ แทนคำตอบ ทำให้เพื่อนไม่ซักไซ้ไล่เรียงเท่าใดนัก ไม่ได้รู้สึกอายที่จะปลอกเปลือกความเป็นไปของชีวิตให้ใครต่อใครได้รับฟัง ยิ่งเป็นเพื่อนที่สนิทชิดเคยกันแล้ว มักจะระบายทุกคราวครั้ง ถ้าเขาอยากรู้ แต่สำหรับครั้งนี้ รู้สึกเหนื่อย และล้าเต็มที ที่จะตอบตัวเอง ว่าทำไมยังต้องให้คนอื่นได้ถามอยู่เช่นนี้ ....ผมเข้าใจความรัก ความปรารถนาดีของเพื่อนๆ แต่มันก็จุกลิ้นปี่ ทุกทีที่ได้ยินคำถาม.... แม้ขนาดตัวเราเองยังหนักอึ้ง ใยต้องให้คนอื่นแบกหนักกับเราไปด้วยหละ... เอาล่ะ เอาเป็นว่า ผมสบายดี มีความสุขดี ก็คงน่าจะพอ ....ผมสุ่มสี่สุ่มห้าตอบคำถามไปอย่างนั้น..... มันแผ่วเบาอยู่ในภวังค์ คงมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน และมีเพียงตนเองเท่านั้น ที่รับรู้ว่าความจริงแล้ว เป็นเช่นไร....

           ฟ้าค่ำนานจวนย่ำเย็น เล่นเอาพวกเซไปเพราะฤทธิ์เมรัย แต่ก็ถือว่าพองาม หลังจากย้ายที่มึนเมาหลายรอบ ก็ถึงเวลา  .....ทุกคนจึงได้ล่ำลาและแยกย้ายกันกลับ นานมากแล้ว แม้แสงไฟท้ายรถก็ลับตา แต่ผมพบว่า ตัวเองยังยืนเปลี่ยวปะปนกับความมืดของราตรีที่หม่นหมอง
..........อืมมม ค่ำคืนอันเนิ่นช้า เส้นทางอันยาวไกล นอกจากความเงียบและเหงาแล้ว ผมแทบมองไม่เห็นอะไรอีกเลย.....   ผมซุกตัวอยู่ในความมืดด้วยความอิดโรย ขณะที่จิตวิญญาณของกบฎก็ซุกอยู่ในใจอันอ่อนล้า 

     ".... กลับบ้านเถอะ กลับบ้านนนน...."
    เสียงเพรียกจากรัตติกาลอันหมองหม่น ทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์  แทบไม่น่าเชื่อว่า ความเดียวดายมันโหดร้ายและเที่ยวหลอนหลอก ได้ถึงปานนี้ แม้แต่ในฝันก็ยังไม่ปราณี อย่างน้อย วันนี้ก็ไม่ใช่หนแรกที่พบพาน....

          ผมจอดรถข้างเงาป่า ใกล้ริมน้ำ ติดร้านที่เคยดื่มกินตอนหัวค่ำ เอนหลังพร้อมๆ ปรับเบาะลงราบแทบขนานพื้น มือหมุนลดระดับกระจกรถ พอให้อากาศถ่ายเทได้ จากนั้นก็เปิดเพลงฮำคลอเบาๆ    ยุงสี่ห้าตัว บินว่อน ร้อง วีๆๆ ระงมหู ชวนรำคาญยิ่งนัก แต่ก็ยังดี เพราะอย่างน้อยยังมีเพื่อนบรรเลงกล่อมเพลงฝัน..
...... ในห้วงยามอัตคัดของไมตรีแล้ว คนเราก็ควรมองให้เห็นสิ่งดีๆ จากอมิตรให้ได้ แม้ยากที่จะฝึก แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ที่จะต้องเข้าใจ...เพราะนี่เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ของคืนค่ำอันเดียวดาย

          เมื่อหัวแตะเบาะ ผมก็เผลอหลับไป ช่างเป็นการหลับใหล ที่ปิดกั้นการเข้าถึงของความเหงาได้ถนัดถนี่ยิ่งนัก แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม ผมต้องตวงตัก ....ใช่จะเิกิดได้ทุกทีเสมอไป อย่างน้อย วันนี้ ก็นับเป็นหนแรกที่ได้พบพาน....และก็ยังไม่รู้อีกนานสักเท่าใด จึงจะได้พบเจอ....

 ....ช่างมันเถอะ ...ยุงกัดก็แค่ลายแข้ง บ้างก็เกิดผดที่แขนขา ใช่ผุดผื่นขึ้นในหัวใจก็หาไม่ ผมสบถดังๆ กับตนเอง

....มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เราต้องกล้าที่จะหลับให้ได้ กล้าที่จะฝันให้ได้ ขอเพียงพื้นที่เล็กๆของฝัน รังสรรค์ความวิเวกภายในก็เป็นพอ ...ผมสำทับความมั่นใจให้กับตนอีกครั้ง

โอวว์... ในโลกอัตคัดความสงบนั้น คนเราช่างกล้าที่จะบนบาน.... แม้กระทั่งกับความฝัน ยังหาญหวังอ้อนง้อ...
อืมมม....เพียงเพื่อให้ได้ผ่อนพักและพบเจอสิ่งที่ต้องการ แม้รู้ทั้งรู้ว่า ความจริงเป็นเช่นไร รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่หวัง เดินหันหลังออกไปจากความจริง ก็ตามที .....

.....ใช่สิ.....ถึงแม้ความฝันจะหลอนหลอกหลายรอบ แต่ก็ยังปราณี อย่างน้อย ก็ยังมีพื้นที่เล็กๆให้พบพาความสงบสุขอยู่บ้าง

.....ในพื้นที่เล็กๆ อันน้อยนิดของความฝันนี้ มิใช่หรือ ที่กันพื้นที่ ให้ได้สัมผัส ความจริงอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า สงบสุขได้

ผมข่มตาหลับอีกครั้ง เพราะรู้ความจริงว่า ทางเดินของคนคนหนึ่งนั้น มีไม่มากนัก....อย่าว่าแต่โลกของความจริงเลย แม้แต่ในฝันภวังค์ ห้วงยามนี้ ความสุขยังถูกไล่ต้อน....
"ไปตามหาความสุขในความฝัน  ไปหาสุขในฝัน ไปหาสุขในฝัน ...."

อืมม... ราตรีนี้ น่าจะมีกบฎเพิ่มขึ้นอีกสักคนแล้วหละ ผมสบถกับตนเอง ก่อนจะหาญข่มตาหลับฝันอีกคำรบสอง....

           พิณ คืนเพ็ญ
       ฝนสาดปีใหม่ไทย
     โรงเรียนบ้านแม่ลิด
              15/4/56



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น