วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โจนาธาน การบินสู่อิสรภาพ

.....การสลัดพันธนาการให้หลุดพ้นหรืออิสระจากความยึดมั่นในตัวตน หรือกรอบกติกาเดิมๆ ที่สังคมถือมั่น เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง...แม้เพียงแค่การก้าวออกจากมุมเก่าๆที่คุ้นเคย ก็ถูกพิพากษาว่าเป็น คนนอกคอก เสียแล้ว แปลกใจ ทำไม คนเราไม่กล้าเดินเพื่อสร้างรอยเท้าของตนเอง มัวแต่เดินตามกัน เมื่อไรจะพบเส้นทางใหม่เล่า
......กบฎทางความคิดที่เกิดขึ้น ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่องโจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล....การบินสู่อิสรภาพ....ที่เคยดูตอนเรียนวิชาปรัชญาวิทยาศาสตร์ ประมาณปี 2545 จากท่านอาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง ผมได้คัดลอกเนื้อหาและภาพจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=149165 ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตนเองสู่ความมีอิสรเสรีภาพ...ได้บ้าง

                                                    

       ยามเช้า ....
       .....ดวงตะวันใหม่สดใสส่องแสงสีทองทอดทาบระลอกทะเลที่สงบเยือกเย็น เรือตกปลาลำหนึ่งจอดลอยอยู่ห่างจากชายฝั่งหนึ่งไมล์ ส่งสัญญาณให้อาหารนกกระจายขึ้นไปในอากาศ และแล้วฝูงนางนวลจำนวนพันก็โผบินเข้ามาแย่งอาหารกันกิน  วันแห่งความสับสนอีกวันหนึ่งก็เริ่มขึ้น......  
       แต่ไกลออกไปจากชายฝั่งและเรือ โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล กำลังฝึกบินอยู่เดียวดาย
        มันบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าหนึ่งร้อยฟุต ลดเท้าที่ติดกันลง เชิดปากขึ้น และกระชับปีกเข้าหากันเพื่อหักมุมเลี้ยวที่แสนยากเย็น เมื่อมันเลี้ยวโจนาธานก็บินได้ช้าลง และเมื่อมันบินช้าๆ สายลมก็พัดผ่านหน้าราวกับเสียงกระซิบ เบื้องล่างท้องทะเลดูสงบนิ่ง
       โจนาธานหรี่ตาตั้งสติแน่วแน่กลั้นหายใจ แล้วก็บังคับให้ตัวหักมุมเลี้ยว….อีกหนึ่งนิ้วฟุต…
       แต่แล้วขนของมันก็กระจุย มันชงักเสียหลักตกลงมา
  


       นี่คือบทเริ่มต้น...ในหนังสือเรื่อง"โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล" แปลโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
        เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบ...และเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องการคิดนอกกรอบ(ของใครหลายคน)

       ความจริงแล้ว เรื่องของโจนาธาน ผมอ่านฉบับแปลโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก่อนอ่านของอ.ชาญวิทย์ด้วยซ้ำ
       หม่อมคึกฤทธิ์ใช้ชื่อหนังสือว่า "จอนะธัน ลิฟวิงสตัน นางนวล"

       ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เขียนคำนำว่า "...เมื่ออ่านแล้วเกิดความจับใจในธรรมะที่ได้แสดงไว้ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีทั้งมนุษยธรรมและธรรมอันเป็นความจริงแห่งชีวิตซึ่งตรงตามที่พระพุทธเจ้าผู้ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา และสรณะของผมได้ทรงแสดงไว้เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วมากมายหลายอย่าง..."
       ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียนต่อว่า "...คนที่ผมอยากให้อ่านหนังสือเล่มนี้คือคนไทยทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสิตนักศึกษาและนักเรียน เพราะจะได้กำลังใจในอันที่จะเล่าเรียนและทำประโยชน์ต่อไปได้มาก สำหรับคนที่เคยได้เล่าเรียนวิชาจากผมโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นวิชาใด ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด และไม่ว่าจะมากหรือน้อย ผมขอถือโอกาสนี้ส่งข่าวมาให้ทราบว่า...
        "ผมอยากให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้ทุกคน จะอ่านจากภาษาอังกฤษหรืออ่านจากคำแปลนี้ก็ได้ แต่ขอให้อ่านให้ได้ และในการอ่านนั้น ขอให้โปรดใช้ความคิดให้มากประกอบไปด้วย อย่าอ่านเพียงสักแต่ว่าผ่านสายตาไป นกนางนวลมันรักศิษย์ของมันฉันใด ผมก็รักพวกคุณทุกคนฉันนั้น"


       ".....สิ่งที่ทำให้ นางนวล โด่งดังขึ้นมาคงจะเป็นความง่ายของหนังสือเป็นประการแรก หนังสือเล่มนี้ง่ายในความหมายที่ว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่อ่านได้สบายๆ ในขณะเดียวกันก็แฝงปรัชญาความคิดเอาไว้ด้วย ลักษณะของหนังสือเป็นเรื่องผสมผสานกันระหว่างความเก่าและความใหม่ ความใหม่ที่แทรกเข้ามาก็คือ ความทันสมัยและวิทยาศาสตร์ในรูปของ Science Fiction คือ เรื่องของการบินเร็วและสามารถจะ บินได้เร็วเท่าความคิด นอกเหนือไปจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ประทับใจคนอ่านก็คือ อิสระเสรีภาพ  คนอ่านไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมีอิสระที่จะตีความหนังสือเล่มนี้ได้ตามใจชอบดังนั้นจึงไม่น่าสงสัยอะไรเลย ที่มีคนตีความว่าปรัชญาของนางนวล เป็นฮินดูบ้างเป็นพุทธศาสนาบ้าง เป็นคริสตศาสนานิกาย Christian Science บ้าง หรือแม้กระทั่งว่าเป็นปรัชญาเก๊ๆ ก็มี ..."       ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เขียนไว้ใน"คำตาม"
       หนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงโจนาธาน นกนางนวลที่ชอบ"แหกคอก" ด้วยการ"ฝึกบิน"
       เพราะสำหรับนกนางนวลนั้น พวกมันบินเพื่อหาอาหาร

       "ทำไมนะ จอน ทำไม" แม่ถามขึ้น "ทำไม่มันยากนักรึที่จะทำตัวให้เหมือนนกอื่นๆ ในฝูง หือ จอน ทำไมแกไม่ปล่อยให้การบินระดับต่ำเป็นเรื่องของนกเพลิแกน หรือนกอัลบาทรอส แล้วทำไมแกไม่กินซะบ้าง จอน แกน่ะเหลือแต่กระดูกและขน!" 
       "แม่ ฉันไม่กลัวที่จะเหลือแต่กระดูกและขนฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเมื่อฉันอยู่ในอากาศ ฉันจะทำอะไรได้หรือทำไม่ได้ ฉันเพียงแต่อยากรู้เท่านั้นเอง"
       "นี่นะโจนาธาน" พ่อพูดขึ้นอย่างไม่ไร้ความปรานี "หน้าหนาวก็ไม่ไกลนัก แล้วเรือหาปลาเหลือไม่กี่ลำ และปลาผิวน้ำก็จะว่ายลงสู่น้ำลึก ถ้าแกจะต้องเรียนรู้ แกก็ต้องเรียนรู้เรื่องอาหาร และก็หาอาหารกินให้ได้ เรื่องการบินนี่นะดีอยู่หรอก แต่แกก็น่าจะรู้ว่าการบินการร่อนกินเข้าไปไม่ได้ อย่าลืมว่าเหตุที่แกบินก็เพื่อเอาไว้หากิน"  
       โจนาธานพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง

       อย่างไรก็ตาม เมื่อ"ลับหลังพ่อและแม่...โจนาธานก็แหกคอก หลังจาก(พยายาม)ทำตัวเหมือนนกนางนวลตัวอื่นๆ นั่นคือส่งเสียงร้อง สู้ ร่อนลงแย่งเศษปลาและขนมปังกับฝูงนกที่ท่าน้ำและเรือตกปลา
       โจนาธานคิดว่าการทำเช่นนั้น ไม่มีจุดหมาย บ่อยครั้งที่มันยอมทิ้งปลาแห้ง(ซึ่งหามาได้อย่างยากเย็น)ให้กับนกนางนวลแก่ๆที่หิวโหย

       โจนาธานคิดว่ามันควรจะใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกบิน เพราะมีอะไรมากมายที่จะต้องเรียนรู้
       ไม่นานต่อมา โจนาธาน สามารถบินได้เร็วถึง 90 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งนั่นเป็นการทำลายสถิติความเร็วในหมู่นกนางนวล!!!
       สิ่งที่โจนาธาน"เรียนรู้"หลังฝึกบินก็คือ นกนางนวลไม่บินยามค่ำและบินเร็ว เพราะหากเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติก็จะต้องให้มีตาเหมือนนกฮูก และมีปีกสั้นเหมือนนกเหยี่ยว
       แต่เมื่อต้องการเรียนรู้...โจนาธาน จึงทดลองทำ...ทุกอย่าง

       จึงไม่น่าเชื่อว่า โจนาธานสามารถบินได้เร็วถึง 210 ไมล์ต่อชั่วโมง และขยับเป็น 214 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาต่อมา!!!
       สุดท้าย โจนาธานถูกขับออกจากฝูง...เพราะถือว่าเป็นการสร้าง"ความอับอาย"ในการเป็นนกนางนวล
       "…สักวันหนึ่ง โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล แกจะรู้ว่าการไร้ความรับผิดชอบไม่มีประโยชน์อะไร ชีวิตเป็นเรื่องลี้ลับ และจะเรียนรู้ไม่ได้ เรามาอยู่ในโลกนี้เพียงเพื่อกิน และพยายามมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาวเท่าที่เราจะทำได้"  นางนวลผู้เป็นใหญ่พูด

       ต่อมา...โจนาธาน พบกับนางนวลฝูงใหม่
       ซึ่งที่นี่ โจนาธาน พบกับ"เจียง" นางนวลเฒ่า ที่บอกโจนาธานด้วยความเมตตา "ว่าไงลูก..เธอกำลังเรียนรู้อีกแล้วนางนวลโจนาธาน"
       รวมทั้งได้พบ นางนวลซัลลิแวน นางนวลเฟลทเชอร์ ลินด์ นางนวลเมย์นาร์ด นางนวลโลเวล นางนวลชาลส์-โรแลนด์
       ทั้งหมดคือ"เพื่อน"...ในการเรียนรู้ของโจนาธาน

       "กฎที่แท้จริงอันเดียวคือ กฎที่นำไปสู่อิสระเสรีภาพ" บทสรุปของโจนาธาน
       และผมถือว่าเป็นบทสรุปที่"สุดยอด"

...............................................
.....ครับ สำหรับผมแล้ว คิดว่า โจนาธาน คือ ต้นแบบของการก้าวสู่โลกทัศน์ใหม่ ที่มีเป้าหมายคืออิสรภาพของชีวิต การเดินทางดังกล่าว ต้องมีความเชื่อมั่น ศรัทธาและก้าวที่กล้า จึงจะทำให้พบทางเสรีได้อย่างแท้จริง ผมไม่ได้ต้องการให้ทุกคนเดินออกจากกรอบเดิมของสังคมเสียในทุกด้าน ไม่ได้ต้องการให้ใครต่อใครลุกมาต้านวัฒนธรรมทางความคิดเดิมที่เราเป็นกันหรอก เพียงแต่ทำไม เราต้องเดินตามก้นกัน อยู่อย่างนั้น เช่นนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมเราเดินโดยไม่กล้าหยุดถามตัวเองว่า "จะเดินไปสู่หนไหน" หรือเป็นเพราะเราชินชาและตายด้านต่อการตรวจสอบวิถีเก่าๆ บางอย่าง เพียงเพราะ เขาว่า... เขาบอก.... เขาสอน....ผ่านวันเวลายาวนานแรมปีกระนั้นรึ... ถ้ามองแค่นั้น ผมว่ามันยังไม่พอ ไม่พอเพราะว่า บางครั้ง การนอกคอกทางความคิด ถือเป็นสิ่งจำเป็นในสังคมที่ขาดแคลนความสร้างสรรค์ เฉกเช่นสังคมไทย...

พิณ คืนเพ็ญ

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดอกไม้นานา


ดอกไม้สวยงามไ ม่ต้องแต่ง ร้อนแล้ง แห้งหนาว ยังพราวใส สีสด
งดงามจากข้างใน ในสวยในใส จึงงดงาม
ดอกกระทกรก หรือ เสาวรสธ์ กลีบดอกเบ่งบาน ผึ้งงานตอมไต่
ไม่ขาดสาย ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตน
 หน้าที่ของการดำรงชีวิต
ดอกหญ้าข้างสวน เบ่งบานรับขวัญวันใหม่ ชูช่อล้อหมอก น้ำ ค้างใบ
พริ้วไหว เอนอ่อน อ้อนกัน

ลีลาวดีกลิ่นหอม นวลนุ่ม สุขุมเยือกเย็น ถึงใจ
งดงามแม้อยู่ ก้านดอก งดงามแม้ อยู่ดินดอน 

                                                      
                                                     

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คอย...ป้อง










   เถียงนาน้อย คอยใคร อยู่ไหมหนอ
เจ้าเฝ้ารอ ไอฝน หมอกหม่นหนาว
คอยข้าวใหม่ ไออุ่น ละมุนพราว
คอยหมู่ดาว หยาดน้ำค้าง คืนจันทร์เพ็ญ
   หรือคอยทุย ที่เคยลุย หน้าไถหว่าน
คอยดอกจาน บานแต่ง ทุ่งแล้งเข็ญ
คอยหิ่งห้อย ร้อยแสง แต่งฟ้าเย็น
ฤา...คอยไก่เซ่น ศาลปู่ตา ป้องห่าเมือง
  ........................................
       พิณ คืนเพ็ญ :  ซาวตุลาห้าสี่
           ต้นหนาวแม่นาจางเหนือ
               

เทียนภู










เทียนภู เปล่งแสง แต่งฟ้าค่ำ
เย็นน้ำ หมอกหนาว คราวหลังฝน
ตะวันลับ เดือนหลับ ลับตาคน
เทียนธรรม เปล่งแสงตน ส่องคนภู
        .......................













เทียนร่ำไห้ อาลัย กลายแสงส่อง
คนแซ่ซ้อง เห็นค่า คราไสว
เทียนเจ็บซ้ำ กล้ำกลืน ขมขื่นใน
ใครเล่าใคร เห็นคุณค่า น้ำตาเทียน
            .....................











หรีดสองตัว ถ้วยสองใบ เทียนไขเล่ม
เลาะเรียบเล็ม น้ำค้าง หว่างช่องแสง
ชิมรสร้อน อ่อนไหว คราวไฟแลง
ลิ้มรสแกง รู้บ้างไหม หรือไม่รู้
    .............................














ค่ำแล้ว...
วอมไฟ ไขแสง ขึ้นแต่งค่ำ
หริ่งหรีดร่ำ พร่ำวอน อ้อนฟ้าหลัว
มืดมิด เงียบงัน พลันรอบตัว
มืดจนกลัว จักบ่มี วันสร่างเงา
แต่มีไฟ โคมดอย คอยใสส่อง
สาดครรลอง งดงาม ตามขุนเขา
ที่แห่งนี้ มีวันสร่าง จางเจือเงา
มีวันเศร้า คลายโศก โลกงดงาม
     .....................................
        พิณ คืนเพ็ญ : ปรุงอักษร

เปลี่ยนภายใน









....ทุกคนต่างมอง คนอื่น โดยยึดพื้นฐานของตนเอง
เป็นตัวตัดสิน ดังนั้น จึงมักจะเห็นรูโหว่ของคนอื่น อยู่เสมอ
แต่รอยรั่ว ตัวเอง กลับไม่เจอ


ทุกคนต่างมุ่งปรับเปลี่ยนคนอื่น
แต่ไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงภายในของ ตนเอง

ทุกคน ต่างแขวนชีวิตไว้กับ คนอื่น
แต่ไม่ค่อยมีใครผูกไว้กับต้นไม้ชีวิตของตนเอง


เราจะเปลี่ยนสิ่งต่างๆในโลกได้อย่างไร
หาก ใจเรา ไม่เปลี่ยนแปลง....
เรา จะเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกได้อย่างไร
หากใจเรา ไม่ปรับเลนส์แห่งการมอง....

แท้จริงแล้ว..ตนเอง..กลับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ในฐานะต้นทางของการ มอง มุ่ง แขวน
วิถีคิด วิถีชีวิต.....

การเปลี่ยนแปลงภายในตน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
และจำเป็นที่สุดที่ทุกคนต้องทำในฐานะเครื่องมือแห่ง
การเข้าถึงและค้นพบการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
.......................................
          
             พิณ คืนเพ็ญ

หมายใดเล่าใจเจ้านั้น

       หมายใดเล่า ในใจ ของเจ้านั้น      
หมายฝอยฝัน ปุยดาว พร่างพราวหรือ  
หมายโลกซ้อง ควรค่า คำคนลือ          
ฤา....หมายเพียง ที่ยืนอยู่ เยี่ยงสามัญ...



       จักฝันใด หมายใด เช่นใดเล่า               
คงมิเทียม ทันเท่า เหยียบเงาฝัน                  
แม้ความจริง อาจแผก แตกต่างกัน              
ขอได้ไหม ขอฝันนั้น ศรัทธามั่น...ทางดีงาม


   


      สนทนาธรรมกับลุงแสงดาว ศรัทธามั่น                  
บนความต่างของความคิดและแก่นแกนที่มีต่อสังคม         
เป็นความต่างที่งดงาม ทุกอย่างรับฟังด้วยใจอย่างใคร่ครวญ   
ฟังทุกคำที่พูด แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือเห็นด้วยทุกคำที่ฟัง
             ร้านสุดสะแนน เชียงใหม่                            
                     พิณ คืนเพ็ญ                         





กรรมกรวิชาการ

      กรรมเอ๋ย กรรมกร วิชาการ
เหนื่อยจน เหนียงแทบยาน นะขอบอก
ผมเคยดำ กลับเป็นขาว เขาเรียกหงอก
นั่งต้อกม๊อก หน้าคอมเครื่อง เคืองทั้งวัน
       เขาเล่นน้ำ สงกรานต์ ผ่านบ้านเล่า
ทั้งหนุ่มเฒ่า สาวแก่ แม่อวบอั๋น
เสียงโห่ฮิ้ว ม่วนแท้ ม่วนสุดวัน...(ม่วนคัก ม่วนอีหลีกะด้อกะเดี้ย)
เราสินั่ง ปั่นงาน จนหัวฟู
       คนทำงาน งานทำคน รึไร เราไม่รู้
ที่พอเห็น เป็นอยู่ คือต้องได้ .......(เขาสั่งมา ย้ำ ต้องได้)
ต้องเสร็จทัน กำหนด เขาเดตไลน์
อือ.....ก็ได้ จะจัดให้ ดังต้องการ
        มีอะไร ไหมเล่า ในดอยนี้
ที่ข้าน้อย พวกนี้ ทำไม่ได้
บอกมาเถิด อย่าชักช้า มัวเกรงใจ
ประสงค์ใด ในโลกหล้า ข้านี้จักสนอง.....ฮึ ฮึ ฮึ.......
     
     พิณ คืนเพ็ญ : ปรุงอักษร
             วันเนาเมษาห้าสี่


   *อาหารหลักของกรรมกรวิชาการ*

     

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิชาต้นไม้

      
















ต้นไม้....ไม่เคยรู้ดอก ว่าลมพัดมาแต่ทิศใด
แต่ต้นไม้...ก็เรียนรู้ว่า จะเอนอ่อนอ้อนลมในทิศใด เพื่อความอยู่รอดของกิ่ง ใบ ก้าน นั้นๆ
คนเราก็เช่นกัน ไม่เคยรู้ดอก ว่าความทุกข์เกิดขึ้นด้วยเหตุอันใด
แทบจะไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ
ส่วนใหญ่ ...ก็มักพร่ำบ่นว่า มันจะทุกข์ อะไรกันนักกันหนาวะ หรือ ทุกข์กว่านี้มีอีกไหม อะไร ประมาณนั้น
น้อยนักน้อยหนา...ที่รู้จักและรักจะเรียนรู้ พร้อมๆกับอยู่ร่วมกับความทุกข์ ด้วยความสงบและรู้เท่าทัน....
หากแต่น้อยนักเช่นนี้ มิใช่ดอกหรือ ที่จะเป็นหนทาง นำไปสู่ความอยู่รอดของกิ่งก้านใบ แห่งชีวิต

 พิณ คืนเพ็ญ : แต้มคำ




วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แววตา











ประกายวาว พราวแพรว แววตาเจ้า
โลกสุขเศร้า เจ้าคงรู้ พอดูได้
แม้เจ็บปวด ขื่นช้ำ สักปานใด
นัยน์ตาใน บ่งแกร่งมั่น เกินวันวัย.....
                
      ค่ำคืนที่พวกเราไปแนะแนวและส่งเด็กๆ ที่หย่อมบ้านแม่ฮ้อย หลังกินข้าวเย็นแล้ว ก็นัดหมาย
ผู้ปกครองนักเรียนมาประชุม เพื่อรายงานผลการดำเนินงานในรอบปีการศึกษาที่ผ่านมาให้รับทราบ โดยน้องๆ ที่โรงเรียนได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันชี้แจงแถลงไข ว่ากันไปตามบทบาทที่ได้รับมอบหมาย ดึกพอควรแล้ว ดวงดาวบนฟ้าก็เริ่มล้า จันทราก็นวลแสงอ่อนโยน คนก็เริ่มง่วงเหงาหาวนอน ทันใดก็เหลือบไปเห็นแววตาใสๆคู่หนึ่งของเด็กน้อย ผู้ติดห้อยเอวแม่มาประชุม เป็นการยากยิ่งที่จะเดาหรือทำนายแววตานัยน์ใน และคงหาญกล้าเกินไปที่จะให้ความหมายเช่นนั้นเช่นนี้ได้ แต่ที่แน่ๆ สามารถรับรู้ได้ว่า มีความกล้าแกร่ง มุ่งมั่น และเข้มแข็งยิ่งนัก.....
......คงเหมือนกันกับคนเรา ที่แต่ละคนย่อมมีจุดหมายของชีวิตต่างกันไป แต่ทุกฝันทุกเป้าหมายย่อมอาศัยพลังใจอันแข็งแกร่งจึงจะสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้........
 

               พิณ คืนเพ็ญ 
คราวร้อนแล้ง ก่อนปิดเทอมใหญ่ มีนาห้าสี่

กล้า




กล้าปลอกเปลือกตัวตนของตน หรือไม่
กล้าปลดเปลื้องพันธนาการที่ร้อยรัดรึง รึเปล่า
กล้าร้องไห้กับสุข ยิ้มงามกับทุกข์ตรมขมขื่น บ้างไหมเล่า
กล้าแอ่นอก รับ สู้ ทายท้า ปัญหาสารพันนั้น เท่าใด
กล้าอยู่กับความจริง ความเป็นไป..เพียงใด
ถ้ายังตอบว่า "ไม่" ต้องอยู่ต่อ
อยู่สะกดคำว่า กล้าให้ได้ และกล้าให้พอเสียก่อนเป็นเบื้องต้น
                                 พิณ คืนเพ็ญ: แต้มคำ
 

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รายงานโครงการระดมทรัพยากรทางการศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2

รายงานโครงการระดมทรัพยากรทางการศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียน
บ้านแม่นาจางเหนือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2
_______________________
                                                                                     ***  ผู้วิจัย นายสายัญ โพธิ์สุวรรณ์


บทคัดย่อ


การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรายงานและประเมินโครงการระดมทรัพยากรทางการศึกษา ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของโรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 ประชากรประกอบด้วย ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า และนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู จำนวน 6 คน กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 7 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4-6 จำนวน 30 คน ผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 30 คน และศิษย์เก่า จำนวน 30 คน  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รายงานผลการดำเนินโครงการระดมทรัพยากรทางการศึกษา แบบประเมินโครงการตามแบบจำลองซิปป์ (CIPP MODEL) วิเคราะห์ผลการประเมินโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน  ผลการรายงาน สามารถนำเสนอได้ดังนี้
1. รายงานผลการระดมทรัพยากรทางการศึกษา ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2  พบว่า ทรัพยากรหลักที่ทำการระดม มี 5 ด้าน ได้แก่ด้าน 1) บุคลากร 2) อาคาร สถานที่และสิ่งปลูกสร้าง 3) สื่อ วัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยี 4) แหล่งเรียนรู้ และ5) ทุนการศึกษา แหล่งทุนมี 2 แหล่ง ได้แก่ แหล่งทุนภายนอกหน่วยงาน และแหล่งทุนจากหน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งแหล่งทุนส่วนใหญ่เป็นแหล่งทุนภายนอกหน่วยงาน  ได้แก่ 1) มูลนิธิสามสาระ ประเทศไทย 2) คุณซูซาน เรซ (Khun Susan  Race) และคณะ3) ค่ายหุ่นยนต์และอาสาพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 4) บริษัทแพนดอร่าจิวเวอรี่ กรุงเทพฯ5) กลุ่มเลือดร้อยเอ็ด 6) ชมรมศัลยแพทย์ข้อเข่าข้อสะโพกประเทศไทย 7) บริษัทซีเอ็ดบุ๊ค 8) ค่ายอาสาพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 9) ศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วัน  กรุงเทพฯ 10) วิทยาลัยการอาชีพแม่สะเรียง 11) ภาคเอกชนจังหวัดชลบุรี ฯลฯ  ผลการระดมทรัพยากรทางการศึกษา ตั้งแต่ ปีการศึกษา 2551 -2553 พบว่า ด้านบุคลากร สามารถระดมได้ 39 รายการ ด้านอาคาร สถานที่และสิ่งปลูกสร้าง สามารถระดมได้ ทั้งหมด 27 รายการ มูลค่า 5,500,700 บาท ด้านสื่อ วัสดุ อุปกรณ์และเทคโนโลยี สามารถระดมได้ 37 รายการ มูลค่า 2,144,900 บาท ด้านแหล่งเรียนรู้ สามารถระดมได้ 39รายการ ส่วนใหญ่วิทยากรท้องถิ่นและครูอาสา  และด้านงบประมาณ  ส่วนใหญ่เป็นทุนการศึกษา สามารถระดมได้ 48 รายการ มูลค่า 630,500 บาท
                2. ผลการประเมินโครงการระดมทรัพยากรทางการศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2  สามารถสรุปผลได้ดังนี้
ผลการประเมินด้านบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการและผลผลิตของโครงการระดมทรัพยากรทางการศึกษา ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของโรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 มีความคิดเห็นโดยรวม อยู่ในระดับมาก และผ่านเกณฑ์การประเมิน  ผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า ความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อโครงการระดมทรัพยากรทางการศึกษาตามหลักทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนบ้านแม่นาจางเหนือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 โดยรวมมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับ มากที่สุด และผ่านเกณฑ์การประเมิน ส่วนผลกระทบของโครงการ หลังจากการดำเนินโครงการ พบว่า มีผลกระทบต่อโรงเรียน ผู้บริหาร ครูและนักเรียน โดยได้รับรางวัลและการยกย่องเชิดชูเกียรติจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งด้านวิชาการ บุคลากร จำนวนหลายรายการ

ข้อเสนอแนะ
                   ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
                   1. สถานศึกษาทั่วไป  ควรมีการประยุกต์ใช้กลยุทธ์การระดมทรัพยากรชนิดต่างๆ ตามสภาพบริบทของแต่ละสถานศึกษา
                   2. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรมีการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรครู ผู้บริหารสถานศึกษาให้มีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการระดมทรัพยากรในแต่ละด้านเป็นอย่างดี ตลอดจนควรนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนสถานศึกษา ให้สามารถระดมได้ด้วยตนเองตามศักยภาพ ทั้งนี้ไม่ขัดต่อระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
                   ข้อเสนอแนะสําหรับการวิจัยครั้งต่อไป
                   1.   ควรศึกษาแบบจำลอง หรือโมเดลเกี่ยวกับการระดมทรัพยากรในด้านอื่นๆ เพื่อให้มีการพัฒนารูปแบบและนำไปสู่การเผยแพร่อย่างกว้างขวางและหลากหลายต่อไป
                   2.     ควรมีการศึกษาการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาที่ระดมได้ ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการมีหรือได้มาของทรัพยากรเหล่านั้น ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผู้เรียน ครู โรงเรียน และชุมชนอย่างไร

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

คล้ายๆ



....คล้าย ๆ ดั่งลมหนาว ปลายฝน .........ได้มาเยือน

เด็กชายพเนจร จึงนอนคุดคู้ ซ่อนซุกมือน้อย ไว้ขาหนีบ

....คล้าย ๆ ดั่งหมอกเหมย ต้นหนาว ........ได้มาถึง

ป่าสน จึงยืนต้น แตกใบเส้น เล่นล้อลมหนาว หมอกขาวโพลน

.....คล้าย ๆ ความอุ่นไอ จากฟืนไฟ.........ได้แผ่ถึง

ขี่เกี้ยมน้อย จึงร่นตัว คืบคลาน เข้าอุ่นอิง

....มิใช่เพราะความคล้าย นี่หรอก รึ?

บทกวีเก่าๆ ของวันวาน จึงถูกเปิดอ่าน ข้างจอกสุรา

จอกแล้ว จอกเล่า

....มิใช่เพราะความคล้าย นี่หรอก รึ?

ความรู้สึกเดิมๆของวันเก่าๆ จึงได้หวนมาซ้ำวนระลอกแล้วระลอกเล่า

..แปลกหนอ แม้ฤดูกาลชีวิตจะเลยผ่าน

แต่....เด็กน้อย ก็มิอาจหนีจากความหนาวเหน็บ ได้พ้น

สนต้น ยังคงร่ายใบ หวีดหวิว อ้อนหมอกรัญจวน

ขี้เกี้ยม ยังคง ถวิลหา ไฟฟืนไว้ อุ่นอิง

ช่างแปลกยิ่งหนอ....แม้มีความจริงอันเจ็บปวด

ทุกชีวิตต่างว่ายวนอยู่ใน ความคล้าย แม้กระทั่ง คล้ายๆว่าจะสุข ....ก็ตาม
..........................................................



พิณ คืนเพ็ญ




ไอยราวดี ริมน้ำปิงเมืองตาก



เดินทางคลอเคล้าลมหนาวและเหมยหมอก พร้อมๆมิตรภาพ จากมิตรที่พานพบ

*สิ่งมีชีวิต ไม่อาจหลุดพ้น จากสัญชาตญาณดิบของตนได้ ถ้าใจไม่แข็งพอ*









วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

เสนอวิจัย อเล็กซานเดอร์ รามคำแหง













































ร่วมยินดีกับผอ.ทิชากร









งานเลี้ยงต้อนรับ ผอ.ใหม่แห่งโรงเรียนบ้านกองลอย ซึ่งต้องขอแสดงความยินดีด้วยคนนะครับท่านผอ.ทิชากรกองสิงห์








โรงเรียนคละชั้น

12-14 กันยายน 2554 ข้าพเจ้านายสายัญ โพธิ์สุวรรณ์ ได้รับแต่งตั้งจาก สพป.มส.2 ให้ออกนิเทศติดตาม การจัดการเรียนการสอนคละชั้นของโรงเรียนขนาดเล็กต่างๆ ร่วมกับคณะกรรมการท่านอื่นๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำเภอ ได้แก่
อำเภอแม่สะเรียง นายสมบูรณ์ สันชุมภูและคณะ
อำเภอแม่ลาน้อย นายยนต์ ชัยชนะ และคณะ
อำเภอสบเมย นายประเสริฐ วิริยะภาพและคณะ






โรงเรียนบ้านช่างหม้อ







โรงเรียนบ้านห้วยฮากไม้ใต้


โรงเรียนบ้านแม่อุมลองน้อย-อุมลองหลวง


โรงเรียนรัตนประทีปวิทยา




ผู้บริหารใหม่





วันที่ 19-20 กันยายน 2554 ได้รับเชิญเป็นวิทยากรร่วมกับคณะวิทยากรจาก สพป.แม่ฮ่องสอน เขต 2 ในการอบรมผู้บริหารสถานศึกษาและรักษาราชการแทนผู้อำนวยการที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารงานทั้ง 4 ฝ่าย โดยมีท่านผอ.ประสงค์ สุภา ผอ.สพป.มส.2 เป็นประธานและคณะรองผู้อำนวยการ สพป.มส.2 ทุกท่านเป็นวิทยากรประจำฐานต่างๆ