วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปลี่ยนปฏิทิน

        สัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้มีโอกาสนำคณะมูลนิธิพุทธฯ ไปกราบนมัสการ ท่านหลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป แห่งวัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง เชียงใหม่ สำหรับเขาแล้ว นับเป็นครั้งที่สองในรอบปี และเป็นครั้งที่สามในชีวิต ที่ได้กราบและพบท่านหลวงพ่อ  ท่านมีบารมีและรัศมีธรรมยิ่งนัก เพียงได้กราบกราน ความสงบร่มเย็นทั้งหลายได้แผ่ซ่านเข้าจับจิตจับใจ ทุกคราวครั้ง อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง...
         ครั้งนี้ ท่านเมตตาแจกปฏิทินแก่ลูกศิษย์และศรัทธา สำหรับเขาแล้ว "ปฏิทิน" มีคุณค่าและความหมายเป็นอย่างมาก แน่นอน เบื้องต้น อาจใช้บอก "วันเวลา" แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ผู้มีปฏิทินในมื อเช่นเขานั้น ได้ใช้มัน ทำอะไรเชิงสร้างสรรค์ดีงามเต็มที่ เต็มเวลาแล้วหรือยัง นั่นเป็นคำถามที่ครุ่นคำนึงทวนทบสุดทาง ระหว่างนั่ง "รถชีวิต"  กลับบ้านเก่า...


         เมื่อต้นปี หลังพ้นรั้ววัดแห่งนี้ เขาได้ตั้งจิตตั้งใจเป็นอย่างดีว่า จะประพฤติตนอย่างนั้น อย่างนี้ แต่เอาเข้าจริงๆ หลายอย่างก็ทำได้ แต่บางอย่าง ก็ยังพลั้ง เผลอ พลาด ตามอำนาจ "ใจ" และ "หลง" อยู่ สรุปแล้วก็คือ ยังมิอาจปรับ "เปลี่ยน" ตนเอง ให้ได้ครบถ้วนล้วนหมด ว่างั้นเถอะ
     ...จนบางที เขารู้สึกเบื่อ และเกลียดตนเองเป็นยิ่ง ที่ "เปลี่ยน" ปรับ พัฒนาตนไม่ได้ ดังตั้งใจไว้ จนรู้สึกหมดสิ้นความหวัง และศรัทธาในตนเอง
      
 
        แต่สามวันต่อมา เขาก็ได้ค้นพบอะไรบางอย่าง  ขณะนำคณะมูลนิธิฯ ทัศนารอบแม่ฮ่องสอน ตะลอนตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญผ่านครบทุกอำเภอ ตามแต่ "ปฏิทิน" แห่งวัน จักเอื้ออำนวย ข้างทางก่อนเข้าอำเภอแม่แตง ได้แวะน้ำพุร้อนโป่งเดือด  พร้อมเก็บภาพบรรยากาศสวยงามไว้มากหลาย มีภาพหนึ่ง งดงามยิ่ง เป็นภาพยามเช้า ขณะลำแสงทอดส่องลอดใบต้องไอดิน เห็นเป็นลำ เป็นทางยาว ไล้ลูบเคล้าผืนป่าและดินดำนุ่ม อยู่นานสองนาน เขายืนนิ่งอึ้ง อยู่นาน คล้ายวันที่ออกจากวัด นั่ง "รถชีวิต" กลับบ้านเก่า ก็มิปาน
       ...นานกี่นานแล้วหนอ ที่แสงแดด ส่องลำแสงงามทาบทอทาอาบ มวลแมกไม้ในป่าผืนแห่งนี้ มิเกี่ยงร้อนเกี่ยงหนาว มิคร้านท้อสิ้นหวัง แต่มันยังคงปฏิทินแห่งหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น เช่นเดิม จนกว่า ต้นไม้เหล่านั้นจะเติบโต แตกใบ แตกก้าน และร่วงโรย ตามวัฏจักรแห่ง ปฏิทินชีวิต...
       เขาก้มลงกราบหลวงพ่อและกราบขอบพระคุณ "ปฏิทิน" ที่ได้รับนั้น หลายต่อหลายครั้ง เขาเข้าใจแล้วว่า เวลาชีวิต สั้นลงๆ จริงๆ  ปฏิทินชีวิต จึงควรกางขึง เพื่อเร่งสร้าง เร่งทำ ดุจแสงสุรีย์ฉาย  มิเกี่ยงฟ้า เกี่ยงฝน หรือลมหนาว เร่งทำ เร่งเข้า เร่งเข้า เพื่อการเปลี่ยนแปลง เพราะเขาเห็นและเชื่อว่า ผลแห่งการ "เปลี่ยน" นั้น จะแผ่ซ่านความร่มเย็นแก่ตนและสรรพสิ่ง แน่นอน....

                                                        ................................................

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ศูนย์รวมจิตวิญญาณปกาเกอญอ

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
๐ ค้อนทิ่มตอกตีดังโป๊กป๊าก
ฝังฝากตะปูติดชิดไม้แผ่น
จับดิ่งตั้งเสาเข้าตามแปลน
ไม้แน่นฐานมั่นย่อมมั่นคง
 
๐ หลายแรงช่วยหามช่วยหาบ
ยื่นมิตรภาพจากใจให้เกื้อส่
มินานหรอกดอกหวังดังใจจง
เปิดอาคารประดับธงศูนย์ฯเผ่าชน

๐ ภายในรวมเก็บวิถี
มากมีเรื่องเล่าเก่าสืบค้น
กู่ฟ้าก้องดินประกาศตน
ข้าก็คือคน "ปกาเกอญอ"

๐ ค้อนทิ่มตอกตีดังโป๊กป๊าก
ฝังฝากรากฐานให้บ้านก่อ
"น้ำบ่อหลัง" ยังมีพลังพอ
ไหลเลี้ยงหล่อ วิถีตน คนสันภู ๐
..................
โรงเรียนบ้านแม่ลิด
18 ตุลาคม 2557

ร่วมให้กำลังใจ พี่น้อง.ในการก่อสร้างศูนย์รวมจิตวิญญาณชนเผ่าปกาเกอญอแม่ลิด
เราหวังว่า สถานที่แห่งนี้ ในสักวัน จะได้มีโอกาสต้อนรับพี่น้องจากทั่วทิศ และได้น้อมรับมิ่งมิตรจากทุกแห่ง เพื่อเรียนรู้

 แลกเปลี่ยนวิถีชนระหว่างกัน เพราะเราเชื่อว่า ในโลกกลมๆใบนี้ ล้วนต่างมีวิถีบรรพชนแห่งตน และที่สำคัญที่สุด..
 เราทั้งผองพี่น้องกัน
       
 
 
 
 
 
 
 

             
 

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

พระพรหมคุณาภรณ์ - 16 - สนทนาธรรมทั่วไป


เสวนาเศรษฐกิจพอเพียง_หมอประเวศ


บรรยายสรุปกระบวนทัศน์พัฒนาโดย รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ


บรรยายสรุปกระบวนทัศน์พัฒนาโดย รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ


คุณโจนแนะทางออกของคนที่มีหนี้


ปรัชญาชีวิตของโจน จันได


ชีวิตง่าย ๆจะทำให้ยากทำไม


พี่โจน จันได@ลับน้อง

กูรู แนวคิดชีวิตพอเพียง มร มาร์ติน วีลเลอร์ ตอน 1


กระบวนทัศน์ใหม่ของสุขภาพ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง


บรรยายสรุปกระบวนทัศน์พัฒนาโดย รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ


วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หินก้อนสุดท้าย

.........หากชีวิตแบ่งได้เป็นสี่ด้าน ....งาน ...ส่วนตัว ...ครอบครัว และมวลชน .....  เขาพบว่า ห้าหกปีที่ผ่านมา พื้นที่สามในสี่ทุ่มเทไปกับงานอย่างสุดกำลัง และครึ่งหนึ่งของส่วนที่เหลือ แรเงาให้มวลชน เศษจากนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวและครอบครัวตามลำดับ แม้จะเอียงไปข้างหนึ่งจนสุดโต่ง แต่ก็เป็นความเต็มใจ พอใจ ในการแบ่งเช่นนั้นของเขาเอง....

........โบราณบอกไว้ว่า ช่วงวัยสามสิบต้นๆ คนเราทำงานยังกะฟ้าผ่า ขยันขันแข็ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เด็ดเดี่ยว ดุดัน ทุ่มเทและตะเกียกตะกาย ไปให้ถึงธงหมายเป็นสำคัญ ข้อจำกัด อุปสรรค ไม่เคยมีในหัว คำว่า เหนื่อย ท้อ ล้า สะกดไม่เป็น และไม่เคยหลุดออกมาให้เห็นความอ่อนแอภายใน แม้หากจะมีใครสักคน บ่นให้ได้ยิน คนเหล่านั้น จะถูกพิพากษาว่า เหลาะแหละ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทั้งที่ในความเป็นจริง เขาเหล่านั้น หาเป็นเช่นนั้นเสมอไปไม่
....... มันก็จริงอยู่ เขาอาจจะเป็นคนคนหนึ่ง ที่มีพลังและโอกาสในการสร้างสรรค์งาน ให้ประสบความสำเร็จได้มาก ...บางครั้งอาจมากกว่าหลายๆคน เสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ลืมไปว่า เงื่อนไขความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้น มันซับซ้อน มากมายเช่นกัน .....มากจน มิควรที่จะแบกธงสำเร็จของงานนั้น ไว้ในหัวแต่เพียงผู้เดียว ราวกับว่าโลกใบนี้ จะเหลือตนเป็นคนสุดท้าย.......

........เขาเรียนรู้ว่า ในเมื่อยามหนุ่ม ไม่เคยคิดว่าตนจะแก่เฒ่า และในยามอิ่มข้าว ก็ไม่เห็นความหมายของอาหารมื้อต่อไป ตาลายหิวอยากอีกครั้ง จึ่งคิดได้ว่า จะกินอะไรดีหนอ..... ที่ผ่านมา เขาเป็นอย่างนี้ จริงๆ และต่อเมื่อยามพบพานมรสุมชีวิต ทั้งเรื่องส่วนตัว และครอบครัว เขาจึ่งรู้ว่า การจัดสรรปันส่วนชีวิตที่ผ่านมานั้น ไม่น่าจะเป็นธรรม.....
......การมุ่งมั่น อุทิศให้พื้นที่งาน ชนิดหามรุ่งหามค่ำ สุดโต่ง และมิประมาณกำลังตน นอกจากจะทำให้ร่างกายโทรมทรุด โรยล้าแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วย และมันได้ก่อร่างเงาอัตตา ตัวกู ของกู ขึ้นอย่างเงียบๆ เช่น พองานสำเร็จสักอย่าง ...ก็สร้างความพอใจ ...ทำให้เกิดความเชื่อมั่น ...จนเป็นความหลง ...หลงว่า ข้าทำได้ ...ข้าทำดี ...คนอื่นทำไม่ได้ ...ทำไม่ดี อะไรประมาณนี้ ที่สำคัญที่สุด เขายังถูกโซ่ตรวน ในนามความสำเร็จ ปีนไต่หลอนหลอกและจองจำตลอดเวลา นับเป็นรูปเงาแห่งการถือมั่นที่ชัดเจนที่สุด เช่นกัน ....

........ต่อเมื่อริ้วรอยกาลเวลาเดินผ่านแก้ม และเส้นหงอกแซมหัว ทำให้เขา ได้พบ ได้เรียนรู้ อะไรต่อมิอะไรมากขึ้น รวมถึง เรียนรู้ว่า สมดุลของชีวิต ควรเป็นอย่างไร....?
.........เขานับหนึ่งจากสิ่งเล็กๆ เช่น การหาพื้นที่สงบ สงัดเงียบจากภายนอก เพื่อช่วยจัดระบบโฟลเดอร์ภายในจิตให้เล็กลง ๆ และค่อยๆ สลาย.... การหามุมอ่านหนังสือ หรือสุนทรียสนทนากับบางใครคน สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยเฉลี่ยและเพิ่มพื้นที่ส่วนตน และครอบครัวได้อย่างน่าทึ่งและมีพลัง แม้นอาจตะขิดตะขวง ฝืนขัดกับเจตนาหรือสิ่งเก่าเดิมที่เคยทำมาอยู่บ้าง แต่ก็รับรู้ได้ว่า พันธนาการบนหลังไหล่ ได้ถอดวางลงอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นความเบาสบายใหม่ ที่พบพานอีกแบบหนึ่ง....

......นอกจากนี้ เขายังพบอีกว่า การปลูกต้นไม้ รดน้ำดอก หรือมีกิจกรรมเล็กๆ กับครอบครัว ได้ก่อสุขที่จับต้องได้มากที่เดียว มากจนต่อเมื่อมีโอกาส เป็นต้องรีบสร้าง เพื่อชดเชยวันเวลาที่ผ่านมาทุกครั้งไป 
..... การทำบรรยากาศภายนอกให้พร้อม หาได้ต่างกับการสร้างวัดโบสถ์เพื่อรองรับการบวชภายในของตนไม่ กระนั้นแล้ว หากมีพื้นที่ที่พอทำได้ เขาจะสร้างปรับให้เป็นวิหารแห่งการตื่นรู้ทันที

.......หลายวันก่อน  ช่างจัดสวนคนหนึ่ง ได้เสนอทำน้ำตกหิน ... นัยว่าจะให้มีน้ำไหลซอนผ่านดงเฟิร์น และไม้น้ำ พร้อมๆขับลำนำเสียงแตกฟอง ขณะมรรคารินจ้อกๆ ซ้อนซอกโขดหิน ดุจดนตรีสวรรค์ ที่บรรเลงเพลงเศร้า ซึ้ง ดึงต่อมน้ำตาคนชมต่างเสียงปรบมือ ซึ่งพิจารณาดูแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดต้องปฏิเสธ เขาบอกว่า การจะเป็นสวนสวรรค์ได้ต้องมีวัสดุอุปกรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่ที่จำเป็นใช้ ก็หาได้เกือบครบแล้ว ขาดอย่างเดียว คือ ก้อนหิน จึงเป็นหน้าที่ ที่ต้องเตรียมให้พอพร้อม สำหรับ น้ำตกสวรรค์นั้น ด้วยความเต็มใจ

….."เอาก้อนพอดียกนะ ท่วมกระบะมืด ซักสองลำ น่าจะพอ"  ช่างบอกปนสั่ง ให้เขาตระเตรียม เมื่อหลายวันก่อน

........ก้อนหิน หากเป็นหน้าแล้ง ในลำห้วยลุ่มโรงเรียน ก็พอมี แต่ช่วงนี้น้ำหลาก การเก็บยากลำบาก และเสี่ยงอันตราย

......... อย่างไรก็ตาม เด็กน้อย ได้ช่วยกันเก็บ ก่อนหน้าแล้วบางส่วน แต่มองมุมไหน ก็มิอาจจะท่วมกระบะมืดของรถคันใดได้สักคัน วันนี้ จึงชวนพวกเขาอีกครั้ง ไปยังดอยอีกลูก ซึ่งที่นั่น มีหินสวยๆให้เลือก ขน เก็บ ขึ้นท่วมกระบะมืด ได้จุใจ ......

......กว่าจะเลื่อนล้อพ้นรั้วแม่ลิด จวนเจียนห้าโมงเย็น ฟากดอยทางหน้าโรงเรียน ก่อนนั้นเขียวสด และรกครึ้มด้วยไม้ใหญ่น้อย บัดนี้ ฝอยหมอกยามเย็นได้โรยสาย ห่มห่อ จนเขาทั้งลูกเกือบลับหายใต้ปุยนวล เสียงคุย เอินหยอกแกมเล่นหัวกันของเด็กน้อย ขณะนั่งรถไปขนหิน ได้ยินตลอดทาง ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ก็ถึงจุดหมาย ทุกๆคน ช่วยกัน ขน ยก

"เอาก้อนที่พอยกได้" ขนจนท่วมกระบะมืด และกว่าจะเสร็จ ตะวันก็ลับเหลี่ยมเขาไปสองนานแล้ว

......เกือบสามทุ่ม รถคันเก่งของเขา ได้บรรทุกหินก้อนเขื่อง เต็มลำ หนักรวมสองตันเห็นจะได้ พร้อมด้วยพนักงานอีกหกนาย มุ่งหน้าสู่ที่ที่มันเคยจอด ซึ่งบัดนี้ โรงเรียนได้กลายเป็นเป้าหมาย ทั้งหิน รถ และคนไปแล้ว เนื่องด้วยหินหนักใหญ่ ยามยกราวกับจะหน่วงก้นจนแทบจดพื้น กอปรกับรถที่แก่เฒ่า แรงหายไปตามวันวัย จะให้มีความฮึกทะยานฮ้าว ดังรถรุ่นใหม่ เครื่องแรงจัด ก็คงยาก จึงไม่แปลกที่ขากลับต้องใช้เวลาเกือบสามเท่า ฟังเสียงมันครางอืดอืน ยามติดหล่มและปีนดอย น่าเวทนายิ่งนัก คง ล้า เหนื่อย หนัก เต็มที ดูสิ ยามเลื้อยล้อขึ้นภู ช่างละม้าย ไส้เดือนดิน ที่กระดืบคลานทีละเสี้ยวคืบ เพื่อออกจิบดอกน้ำค้างยามเช้า ลำตัวคลุกหม่นด้วยทราย แดดสายหนีไม่ทัน มันก็รู้ชะตากรรม ว่าจะเป็นอาหารของมด แต่ชั่วโมงนี้ ไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาที สำหรับความท้อแท้ ท้อถอย ...ไป ต้องไปให้ถึงเป้าหมาย ดัชนีบงการในหัวตอกย้ำ ทางธง ตลอดเวลา....

........."หินสวยๆ ทั้งนั้น ไม่ต้องรอสองลำ สามลำแล้ว เที่ยวเดียวนี่แหละจบ"
..........เขารำพึงกับพวงมาลัยอย่างภูมิใจ ขณะเร่งส่งขึ้นดอยสุดกำลัง ขาขวาเกร็งเหยียด เหยียบเร่งจนจำมิด มือโยกส่ายพวงมาลัย ไปทางซ้ายที ขวาทีสลับไปมา เพื่อเพิ่มแรงส่งยามปีนดอยสูง

........ถนนช่วงสุดท้าย หน้าป้ายโรงเรียน นับเป็นช่วงปราบเซียน เพราะเอียงชันและลาดลื่นเอามากๆ มีไม่น้อย ต้องสยบพ่ายและล้มเลิก แต่ไม่ใช่เหตุผล สำหรับรถคันนี้และคนขับอย่างเขาแน่นอน...

........."นิด เอ้า นิด อีกนิด ครูครับ "    เด็กน้อย ตะโกนลุ้นจนตัวโก่ง เสียงดังจากกองหิน ขณะเสือเฒ่ากึ่งคลานกึ่งเลื้อย พอถึงกลางดอย ก็วูบหาย หมดแรงเอาดื้อๆ ทันใดนั้น มันก็จอดนิ่งบนภู ท่ามความลาดชันหกสิบห้าองศาหน้าโรงเรียน เงยหน้าเห็นป้ายและแสงไฟอาคารอยู่รอมร่อ อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงเป้าหมายแล้ว แต่เสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เฒ่าชราซึ่งหนักและโรยแรง ก็ไหลลงดอยอย่างรวดเร็ว ดุจมือปีศาจฉุดกระชากด้วยความโมโหแค้น เบรคมือถูกดึงอัตโนมัติ เท้าขวาย้ายคันเร่งไปเหยียบเบรก ควันคลัทช์เหม็นคลุ้ง ยางล้อบดคอนกรีต เสียง เอี๊ยด ๆ ๆ สุดทาง คราบยางสีดำครูดติดพื้นลากยาวตามถนน เหม็นไหม้ยาง คลัทช์คลุ้งอวลตลบ เหงื่อชุ่มง่ามมือและผุดเม็ดตามหน้าผาก มาถึงตอนนี้ เขารู้ชะตากรรมดีว่า หากบังคับพวงมาลัยไม่ได้ ลำห้วยลึกลุ่มดอย จะเป็นสุสานเรือนตาย ฝังทั้งรถ คน และหิน พร้อมฟังเสียงสวดอภิธรรมจากเขียดห้วย อย่างเลี่ยงมิได้

..........แสงไฟอาคารอนุบาลทอดแสงตัดเส้นขอบฟ้า ส่องลำขึ้นเบื้องบน เขาตั้งสติ ตบเกียร์หนึ่ง เหยียบเร่งรอรอบ พร้อมเหยียดสุดขา มุ่งส่งขึ้นดอยทิศตามแสงไฟ รอบแล้วรอบเล่าก็ยังไม่ถึงฝัน พอจะขึ้นไปได้ ก็หมดแรงเอาหน้าซื่อ....
..........เขาปลุกปล้ำกับพวงมาลัยอยู่พักใหญ่ อย่างเก่ง ก็ทำได้เพียง พาเสือเฒ่าและหินเต็มลำไปเยือนป้ายโรงเรียน หลังจากนั้น ก็ไหลลิ่วลงดอย รอบแล้ว รอบเล่า จนยากจะควบคุม ......

.....เมื่อริ้วรอยกาลเวลาเดินผ่านแก้ม และเส้นหงอกแซมหัว การทบทวนถึงความสมดุลชีวิต จึงเกิดขึ้น...
 
.....เบรกมือถูกดึง เพื่อจอดรถ หินก้อนแล้วก้อนเล่า ทยอยขนลงจากกระบะ กองสุมรวมไว้ข้างทาง......

..... เมื่ออยากถึงธงหมาย ก็จำเป็นสลัดพันธนาบนหลังไหล่ออก แม้จะไม่เหลือหินติดรถ สักก้อน... ก็จำยอม  เพราะว่า ไม่มีพจนานุกรมฉบับใด นิยามว่า....อิสรภาพเกิดขึ้นได้จากความอาลัยในพันธนาของเครื่องจองจำ
...หินพันธนาก้อนสุดท้าย ก็มิอาจได้รับการยกเว้น หากปรารถนาอิสระภาวะ.....
 

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พรรษาของนกปรอด

......แต้ แว้ด แครก แครก
 .....แต้ แว้ด แครก แครก
......เจ้าปรอดก้นแดง ตัวเขื่อง ใช้ขาข้างหนึ่งเกาะพุ่มพริกริมรั้วข้างบ้าน โหนหัวและหย่อนตัวลงโคลนต้น
ตาแส่ส่ายไปมา เหมือนมองหาอะไรสักอย่าง เอียงหัว เอียงคอ ละม้ายครุ่นคำนึงอะไรสักเรื่อง
ปากก็ร้องเพลง...
 ...แต้ แว้ด แครก แครก
....แต้ แว้ด แครก แครก 
....มิได้ขาด เป็นอยู่อย่างนี้ หลายสิบนาที  นับเป็นภาพหนึ่ง ที่ กันเอง และใกล้ชิด ที่สุด ใกล้ชิดจนรับรู้ถึง ความไว้วางใจ ระหว่าง เรา ขึ้นอีกวัน...

 .......ประมาณ สองพรรษาเห็นจะได้ ที่ปรอดเข้ามาอาศัย ชายคาบ้าน เป็นรังนอน (เฉพาะในวันครึ้มฟ้าหรือฝนตก) เพราะโดยปกติ หากฟ้าแจ่ม หรือปลอดฝน มันจะนอนบนต้นลำไย มิปรากฎกายและเสียงในระยะกระชั้น เช่นนี้ ให้เห็นหรือยินนัก

.......ปีที่แล้ว มีสมาชิกเพียงสามตัว  ตกมาปีนี้ มี หก ไม่แน่ใจว่า เป็นลูกหรือพ้องเพื่อน ที่เพิ่มขึ้น เวลานอน จะงอยคอน เรียงตัวชิดติดกัน พร้อมสลับหัวหาง เป็นยามระวังภัย หน้าหลังแก่กัน ด้วยขนที่ปุกปุย กอปรกับกายชิดติดกัน  ทำให้ ยามนอน ปรอด ทุกตัว ได้รับไออุ่นจากกันและกัน อย่างสม่ำเสมอ ในทิวาอันยาวนาน จึงทอห่มฝัน ท่ามราตรีฝน  อันอ่อนโยน หลับสนิทใจ ใต้คา ที่อุ่นเอม.....

........เช้าวันอาสาฬบูชาปีนี้  ก่อนที่จะพาลูกสาวไปวัด ปรอด ก้นแดง สองในหกตัว ก็บินมาจับริมรั้ว แล้วส่งเสียง แต้ แว้ด แครก แครก ทักทายกัน .....

นางฟ้าตัวน้อย กระซิบถามเบาๆ ระคนใคร่รู้ ของเดียงสาวัยว่า
"นกพูดอะไรกันพ่อ"

"พวกมันคงชวนกันไปทำบุญที่วัด เพราะวันนี้ เป็นศีลใหญ่ อาสาฬหบูชา"
"พรุ่งนี้ ก็จะเข้าพรรษาแล้ว ....ตลอดเข้าพรรษาเนี่ย ปรอด จะเป็นนกที่ดี เชื่อฟังพ่อแม่ ตื่นนอนแต่เช้า  ล้างหน้าแปรงฟัน และบินไปหาอยู่หากิน เป็นเด็กดี ใครเป็นเด็กดี ก็จะได้พบสวรรค์ นะลูก "

เธอเอื้อนแย้ง พร้อมแจงว่า
"มันจะไปบอกเพื่อนๆ ให้เลิกเหล้า ต่างหากละพ่อ เพราะเข้าพรรษาแล้ว "
"แล้วพ่ออยากไปสวรรค์ไหม? "
"ถ้าอยากไปเนี่ยนะ  ต้องเลิกเหล้า และรักษาศีล"
"ศีลจะทำให้ได้ไปสวรรค์นะพ่อนะ"

......เสียง แต้ แว้ด แครก แครก ของเจ้าปรอดก้นแดง ได้จางเสียงพร้อมลับหายในม่านฟ้าไปนานแล้ว แต่เสียงธรรมของนางฟ้าตัวน้อย ที่พร่ำสอนย้อนเอ่ย กระตุกกระตุ้นเตือน ผู้เป็นพ่อของเขา ยังกังวานในมโนสำนึก มิสร่างเบา.....

"เข้าพรรษาแล้ว ให้เลิกเหล้า เข้าพรรษา ....รักษาศีลนะ ....จะได้ไปสวรรค์"


วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อมพาย 3

(1)
ถึงอมพาย
คณะแยกย้าย
แจ้งแจก ธงหมาย
การมา เพื่อการใด
ข้าเห็น ไม่ต้อง
คำตอบก้องจากข้างใน
เพียงอยากยลยิน ความเป็นไปของเธอ
อมพาย


(2)
พุ่ม ซุ้ม สวน ดอกไม้
หลายแห่งเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย
หากประโยชน์ใช้คือเหตุ ของการมีและดำรงอยู่
การเปล่ามี พรากสูญ
ก็หาใช่ ไร้ความจำเป็นแห่งเนื้องานเสมอไม่

(3)
บนดอยสูงเหนือโรงเรียน
ข้าวไร่ ถูกลมไล้ใบเขียวลู่เอนเล่นลม ....สวยแท้
เธอก็ดั่งกัน ลมพายุปากท้องไล้ปะทะ
ยังหยัดต้น ยืนก้านใบ แห่งความเป็นเธอได้
อมพาย

(4)
ก่อนกลับ
แวะบ้านลุงเฮือน
ปีนี้
ความชรามาเยี่ยมเราสองมากขึ้น
เสียงหายใจบอกบ่งความล้า
แต่แววตา น้ำใจและมิตรภาพระหว่างเรา ไม่เคยจาง

ก่อนกลับ ลุงโต
ฝากมะเขือเทศถุงใหญ่
"บ่มีหยังเหื้อ เน้อครู"
ข้าค้อมหัวรับถุงไมตรีนั้น
ขอบพระคุณ พี่น้อง
ขอบคุณเธอ อมพาย
เธอดำรงความหมาย
ทายท้าสมัยนักฯ

สักวันข้าจะกลับมา
อมพาย

พิณ คืนเพ็ญ
เยือนอมพาย















วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อมพาย (2)

(1) ทางสู่อมพาย
ขยับขยายและลาดเทความสะดวกมากยิ่งขึ้น
หิมะแดงยามแล้งคราวก่อน เคยฟุ้งตลบไล่หลังรถกระหล่ำ
วันนี้ กาลเวลาได้เขมือบกินพวกเขา จนเกือบหมดสิ้นแล้ว
ทางตลอดสาย จึงกลายสี จากแดงเป็นดำ
แต่ทางก็ยังทำหน้าที่ ทาง ดังเดิม
............................................

(2) รถไต่ดอยวกวน คลอเคลียทิวสน บ้านแม่โถ
เหล่าผู้เฒ่าชาวม้ง พร้อมเด็กน้อย
จับเจ่าหลากหลายอริยาบถ
บ้างนั่งปักผ้า .....
บ้างปั่นด้าย ต่ำหูก.....
บ้างผ่าฟืน สับหลัว
บ้างเหยียดขา ทอดอารมณ์
บ้างอุ้มหลาน ป้อนข้าวน้ำ
ฝอยฝนจับขนคิ้วฉ่ำชุ่ม
พวกเขา อาบหมอกต่างน้ำ
...............................................
(3) อากาศที่นี่ เย็นสบาย
ชีวิตผู้คนเนิบช้า
ดูเมฆใหญ่ก้อนนั้นประไร
นานเท่าใด กว่าจะเลื่อนแลสลาย ข้ามดอยลูกโน้นได้
ลมฝนเย็นเยือกพรมฝอย ลอยห่ม มอร์สเฟิร์น
ตามไม้แลคาบ้าน เขียวครึ้ม คล้ายพรมและหนวดเครา
อากาศเยี่ยงนี้ พัดลมแอร์  หาจำเป็นไม่
แม่เฒ่าจึงดูหลาน แม่บ้านจึงต่ำหูก
หาฟืน เพื่อหุงหา ต้มเหล้าและอุ่นอิง
แม้วันนี้ .....
ฝูงหมอกอาจจางตาบ้าง แต่ความยะเยือกยังคงอยู่
ดูสิ ขนคิ้วหัวใจข้า ฉ่ำทาด้วย ฝนเม็ดงาม...เหล่านั้น
.......................................................

(4) ระหว่างทาง บ้านเคาะท่า
ก่อนโน้น
ข้ากับเพื่อนครู นำเด็กน้อย หาเก็บหน่อไม้ไปหมักดอง
ได้หลายสิบไห
กินหน่อเป็นแรมปี
เด็กๆ บอกว่า ผาโน้นมีถ้ำ มีขี้ค้างคาวด้วย
ดูไกลเกินตา เพราะไม้ใหญ่บังหู กอไผ่ยิ่งบังตา
เดินไม่ถึงดอก....
มันไกลเกิน....

วันนี้
ป่าไผ่ถูกแผ้วถาง ไม้เล็กใหญ่ ริมทางถูกตัดโค่น และหายไป
หายไปกับกะหล่ำ มะเขือเทศ ผักกาดขาว ในตลาดไทและห้างเมือง
หายไปกับ ไทเกอร์ วีโก้ ไมตี้....
ข้าพบว่า
ผาที่เด็กน้อยเคยบอกว่ามีถ้ำ
แท้ตั้งห่างไม่ถึงยี่สิบเมตร
มองเห็นทางเดินโล่งแจ้ง  หามีไม้แซมสักต้นไม่
แม้ใกล้เพียงคว้า และหามีอะไรบดบังหูตาอย่างเคย
ข้าก็ไร้เหตุและแรงจูงใจที่จะเดินไป
เดินคงเดินไม่ถึงดอก....
มันไกลเกิน .....








วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อมพาย(1)

.... ตื่นเต้นระคนดีใจ อย่างบอกไม่ถูก ที่ได้กลับไปเยือนถิ่นเก่า อย่างบ้านอมพาย (สันติสุข สันติธรรม ช่างหม้อ)....ก็ไม่รู้เหมือนกัน ...ว่าเพราะอะไร แต่เจ็ดปีของการใช้ชีวิตเทียนภู อยู่ท่ามดอยแถบนั้น มันฝังรอยเท้าความผูกพัน บนแผ่นศิลาแห่งความทรงจำ  ... ระหว่างเรา จนยากจะลืมเลือน......

...... เพื่อนพ้องน้องพี่ ในหมู่บ้านบางราย ได้กลายเป็นญาติสนิท ฝากผี ฝากไข้ 
.....เพื่อนครู ผู้ร่วมวิชาชีพบางราย ได้กลายเป็นกัลยาณมิตร แวะเวียน ถามไถ่ ห่วงใย  มิจางหาย
และบางใครคน วันนั้น ในวันนี้ ได้กลายเป็นคู่ชีวิต และหวังอาศัยฝากกาย ในยาม ชีพวางวาย...  
..... หลายปี ที่ผ่านมา จึงหวังในใจว่า สักวันหนึ่งจะกลับไปเยือนให้ได้....

..... ธรรมดาของสรรพสิ่ง ที่ดำรงการเปลี่ยนแปลง ตามเหตุปัจจัยอย่างสม่ำเสมอ...  ห้องเรียนซี่ไม้ไผ่ ติดเล้าไก่ ข้างถนน ...ห้องนั้น  วันนี้ถูกแทนที่ด้วยตึกสูงหลังใหม่ ...ใหญ่และมั่นคงกว่าเดิม

 .......ทางเดินเล็กๆ ราดลื่นดินเหนียว จากบ้านพักครูเซียง มายังโรงอาหาร ซึ่งเมื่อก่อนเราต่างเทียน เดินเวียนล้มลุก ไปแอ่วถามข่าวทุกข์สุขของพี่น้อง พร้อมร่ำจอกบุปผา ดีดพิณ ร้องเพลงกับมวลมิตร วันนี้ถูกแทนที่ด้วยคอนกรีต แสงไฟเสา สว่างไสว กันทั่วหน้า

....สวนกุหลาบเล็กๆ หน้าโรงอาหาร เคยออกดอก หยอกหมอกหนาว ในยามเช้า บางใครคนเคยแอบดม คราเจ้าของมิเห็น วันนี้ได้กลายเป็นบ่อเลี้ยงปลาดุก ปลาตะเพียน ในสวนจอกแหน

   .....ดอยสูงร้าง บนโรงเรียน คราวก่อนโน้นเป็นป่าหญ้าคา  นอกจากชาวบ้าน รายสองราย จะผ่านไปทำสวน ก็ไม่เห็นจะมีใคร ยกเว้น ...ผีบ้า ...ผีบ้าผู้สวมรองเท้าแตะ  ในมือมีเสียมกับถุงอะไรสักอย่าง เดินขึ้น เดินลง วันละหลายรอบ  แทบไม่มีใครสนใจ ว่าเขาไปทำอะไร ให้คุยด้วย ก็ไม่กล้า จนกาลเวลาผ่านไป ทุ่งร้างป่าคา ได้กลายกล้าเป็นสวนไผ่ ไม้ขนุน ชมพู่ หว้า ไม้สัก และอีกสารพัดสารพัน ของพรรณไม้ ดอยสูงจึงร่มรื่น รากไม้ยึดดิน มิให้พัง บดบังแดด มิให้ร้อน ทั้่งคน อาคาร และมด ได้อาศัย ...ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

    ... ผีบ้า ผู้นั้น ได้หายไปจากพื้นที่นานหลายปีแล้ว หายไปพร้อมๆ กับห้องเรียนเล้าไก่ ...หายไปพร้อมๆกับสวนกุหลาบ หายไปพร้อมๆ กับทางเดินเล็กลื่น สายนั้น  และหายไป พร้อมกับการเติบโต งอกงาม ของสวนไผ่ ไม้ขนุน เช่นกัน

.....ขอขอบพระคุณผีบ้า ผู้นั้น  ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ความงอกงามในจิตใจและแผ่นดิน อมพาย 
ขอบพระคุณวันเวลาที่เยื้องย่างทำหน้าที่ของมัน ขอบคุณการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้รู้สึกถึงการมีอยู่ ...อย่างน้อย การมาหารอยอดีตของใครบางคน... แม้นมิอาจคว้าจับในบางสิ่งได้ แต่มั่นใจว่า ความรู้สึกร่วมและดี ในอดีตมันดำรงอยู่   

......ลมลู่เอนกิ่งไผ่ไหวงาม โยกเอนเอ่นต้น ....งดงามแท้ ....รอยทางวันเวลา นอกจากจารจด การเปลี่ยนแปลงให้เป็นทุน  ยังได้ให้ ความงดงาม เป็นกำไร อีกทอดหนึ่ง ซึ่งอาจจะแผกแตกต่างบ้าง ก็ตรงที่ ใครจะจดจำอะไร ไว้ที่ใด เท่าใด    
......สำหรับผมและสำหรับ อมพาย  แผ่นศิลา น่าจะเป็นคำตอบ....
 

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เข้าพรรษา

....... .....เข้าพรรษา เป็นช่วงเวลาที่ใครหลายๆคน ถือเอาฤกษ์ในการลด ละ เลิก อบาย นัยว่าปีหนึ่งได้หยุดเลิก ละ สักสามเดือน เลียนพระสงฆ์องค์เณร บางอย่างบ้างก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเสียเลย  .....

............สิ่งที่นิยมกันและเห็นมาตลอด คือ การรักษาศีล ไม่ว่าศีลห้า ศีลแปด ให้บริสุทธิ์ กินเจบ้าง มังสวิรัติบ้าง ทำสมาธิบ้าง ตามศรัทธาสะดวกของแต่ละคน นอกจากนั้น บรรดาผู้ชื่นชอบบรรยากาศในการร่ำเมรัย ก็จะอาศัยห้วงยามนี้หละ  ละเหล้าเข้าพรรษา หลายรายทำได้ ดังจิตอธิษฐาน ทำเอากองเชียร์ เมียลูก ดีใจไปตามๆ กัน .....แต่ก็มีไม่น้อย เช่นกัน ที่ทำไม่ได้ เพราะพรรษาแตก   เข้าพร้อม แต่ออกก่อนพระ สี่ห้าปีมานี่ ผมเอง ก็จัดเป็นสมาชิกกลุ่มหลังนี้ เสมอต้นเสมอปลาย เสียด้วยซ้ำ ไม่ขาดพร่องสักหนเดียว

............มาปีนี้ ตะวันชีวิตเริ่มบ่ายแล้ว รำพึงกับตนว่า หากยังดื้อดัน เยี่ยงนี้ โรคาพยาธิอาจรุมเร้า และคงไม่มียาที่ไหน จะมารักษาสุขภาพให้ดีได้แน่ เอากันเป็นกันว่ะ

"พระเข้า เราจะออก พระออก เราจะเข้า..."

 เพราะอะไรนั่นนะหรือ ก็เพราะว่า ตนเองไม่ชอบดื่มคนเดียว หากมีพรรคพวกเพื่อนฝูงร่วมสนทนา วงบุปผาจึงจะเกิด ฉะนั้น ช่วงเข้าพรรษา สมาชิกกลุ่มแก๊ง เขาละเลิกกันหมด เหลือตัวคนเดียว  ก็ไม่มีเหตุผล ที่จะดื่ม ครั้นช่วงออกพรรษา  ทุกคนกลับมา  ตนก็ต้องตั้งจิตและละให้ได้ เพราะเชื่อมั่นว่า หากผ่านสามเดือนได้แล้ว เก้าเดือนที่เหลือ ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด  นี่คือทาง ที่วาดวางไว้

เอาก็เอาวะ ลองสักตั้ง ให้กำลังใจ ตนเอง



วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ศรัทธา

ศรัทธามรรคาวิถี
นับวันทวียิ่งล้ำ
หอมค่า หอมคำ หอมทาง
หอมย่าง..รอยธรรม...คุรุชน



ครูศิวกานท์ ปทุมสูติ

เหมือน




 ....ท่ามกระแสเชี่ยวกรากแห่งยุคสมัย
....ใช่หรือไม่  ว่า
... เราท่านต่างถูกกะเกณฑ์ ให้เดินไป ตามสายพานของระบบเศรษฐกิจ
....ดิ้นรน กระเสือก กระสน หาอยู่หากิน ในสงครามของปากท้อง ดุจนกและหนู 
....จะเศรษฐี  หรือ ยาจก  ล้วนเดียวกัน  แผกกันบ้าง ก็คงตรง ระดับกี่มากน้อย ของใครมัน เท่านั้นกระมัง
....สุดท้ายแล้ว ล้วนประคับประคองชีวิตน้อยๆ ให้พลอย พ้น ผ่าน วันและคืน...
...เพียงยามตื่นได้อิ่ม ยามหลับได้อุ่น ...ทั้งเรือนกายและเรือนใจ เหมือนๆ กัน...
...ใช่แค่นี้น่ะหรือ?  มนุษย์...

    29 มิถุนา 57
นา ตม ลม ข้าว แม่สะเรียง
 

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รำพึงตน

 ( 1)
         .....โลกภายนอกดูซ้อนซับ นับวันยิ่งสลอนสลับ จนยากจะทันถึงและเข้าใจ
        .....ทุกสิ่งโยงใยเกี่ยวเนื่อง แยกขาดจากกันมิได้
        .... สิ่งนี้มี กลายเป็นเหตุต่อสิ่งนั้น ยาวเฟื้อย รุงรัง ร้อยกระหวัดสานถัก..มิจบสิ้น
        .....หาต้น หาปลายแทบ ไม่เจอ
        .....มองมุมนึง ก็เหมือนว่าเนื่องร้อย
        .....มองอีกมุม หาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย คล้ายว่า แต่ละสิ่ง ต่างทำหน้าที่ของตน อย่างเสรี

      
 ( 2)
       .....เคยถามตนเอง ชอบเกียร์อะไรมากที่สุด ของรถยนต์ชีวิต
       .....ก เกียร์หน้า
       .....ข เกียร์ถอย
       .....ค เกียร์ว่าง
เกือบทุกครั้งที่ถาม
.....คำตอบที่ได้มักเป็น ก เกียร์หน้า เสมอ
มีบ้างเหมือนกัน ที่ ข  ค และมักใช้เวลาครุ่นคิด นานกว่าปกติเสมอ ก่อนที่จะตอบ

                              ใช่เพราะสัญชาตญาณหรือไม่ ?  
                              ที่นำทางให้ เดินหน้า เดินหน้า เดินหน้า ....
                               เวลาส่วนใหญ่ จึงพุ่งไปสู่พรุ่งนี้
                              เกียร์ว่างเลยถูกเก็บ เกียร์ถอย จึงถูกซ่อน

ไม่เคยปฏิเสธการมีอยู่ ทั้งสามเกียร์ของชีวิตหรอกนะ
และก็ไม่เคยปฏิเสธ การเลือกเกียร์ในชีวิต เฉกเกียร์หน้านั้น เช่นกัน

ว่าแต่...
เราเร่งรีบอะไร ไปหรือเปล่า จนทำให้เช้างามกรุ่นอวลหมอก จางหายไปจากความรู้สึกรู้สา
เราเร่งรีบอะไร ไปหรือเปล่า จนทำให้สองเท้า มีพื้นที่สำหรับการทะยานมากกว่า ยืนนิ่ง หรือ ทบทวน
เราเร่งรีบอะไร ไปหรือเปล่า จนทำให้ช้าไม่ได้ แม้เพียงหยุดอยู่กับที่ ก็กลัวจะถอยหลัง...

หากธงหมาย คือปลายทางที่จะไปให้ถึง
เราไม่ปฏิเสธหรอกว่า มาจากการห้อตะบึงของเกียร์หน้า ....เป็นส่วนใหญ่
แต่เจอทางตัน ติดหล่ม เดินหน้าไม่ได้ จะทำให้นึกถึง เกียร์  อะไร
ที่สำคัญ รู้ไหม ทุกครั้งที่จะเดินหน้า ถอยหลัง  ล้วนตั้งลำจาก ฐานว่างก่อนเสมอ
โอ...สายพานของสัญชาตญาณ นำเราไป พาเราไป จนพราก บางสิ่ง หลงลืมบางอย่าง ที่มีค่าไป เช่นกัน


(3)
........มุ๊งมิ๊ง มุ๊งมิ๊ง ยุงบินวุ่นว่อน
........ยามตื่นยามหลับ มันบ่ยอมนอน
........ยังวุ่น บินว่อน หากิน มุ๊งมิ๊ง


(4)

เปอเลอะ

"เฮือนเฮาบ่ใหญ่
ไฮ่เฮาบ่กว้าง
ข้าวมีเปอเลอะ
กินเยอะๆ เน้อครู
ออ แบ แบะ ...ออ แบ แบะ"

....แม่ลิด....
 มิถุนา ห้าเจ็ด


ทัศนาการปรองดอง (นสพ.ไทยรัฐ)





บางส่วนของการให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ น่าจะเป็นประโยชน์ อะไรได้มากน้อยอยู่บ้าง จึงจารจด ณ ที่นี่
นับแต่วันคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจ กิจกรรมที่เดินหน้ามาตลอดคือ ทำให้คนในชาติปรองดองด้วยวิธีต่างๆ เป็นต้นว่า นำทหารหญิงมายักย้ายส่ายสะโพก เชิญแกนนำคู่ขัดแย้งทางการเมืองมาพูดคุย และเชิญนักวิชาการมาปรึกษาหารือความกลมเกลียวของคนในชาติ แม้จะเป็นความฝันของทุกคน แต่การก้าวไปสู่ความจริงนั้น ย่อมต้องหาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งอาจหาได้จากมันสมองประชาชนทุกภาคส่วน
            ความเป็นไปได้ในการปรองดอง มองว่าเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด นั้น ผอ.สายัญ โพธิ์สุวรรณ์ โรงเรียนบ้านแม่ลิด ต.แม่เหาะ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน บอกว่า ผมมีหวัง พร้อมๆกับเห็นพลังที่ซ่อนอยู่และเชื่อว่า หากทุกฝ่ายช่วยกัน การสะกดคำว่าปรองดอง คงมิยากเกินไป อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาเงื่อนไขเหล่านี้ประกอบด้วย

นั่นคือ ประการแรก การปรองดองจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ มากหรือน้อย เพียงใดนั้น สิ่งสำคัญที่มิควรมองข้าม คือการทำความเข้าใจ สภาพของสังคมไทยโดยรวมร่วมกันให้ชัดเสียก่อนว่า วันนี้เราป่วยด้วยโรคอะไร การหยุดยืนและให้สังคมถามตนเองว่าเป็นอะไรนั้น นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของกระบวนการปรองดอง ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้ เรามีปัญหาซ้อนซับหลายอย่าง เกิดจากหลายปัจจัย และเกี่ยวเนื่องโยงใย แยกขาดจากกันมิได้ การรู้จุดปัญหาและลำดับความสำคัญ รวมถึงธงหมายที่ต้องการจะปัก จึงจำเป็นอย่างยิ่ง โดยส่วนตัวเห็นว่าแก่นปัญหา น่าจะเป็นความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดของผู้คนเป็นสำคัญ ซึ่งระดับความเห็นต่างดังกล่าว ได้ถ่างห่างและขยายวงกว้างมากขึ้นจนสังคมเสียการทรงตัว
              ประการที่สอง เห็นและเข้าใจว่า สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของสังคมที่กำลังวิ่งหาจุดสมดุลให้ตนเอง เพราะขณะที่เราแสดงออกทางการเมืองกลางถนน ก็มีชาติชนอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน เดินขบวนสร้างสมดุลให้บ้านเมืองเช่นกัน การมองวิกฤติให้เป็นโอกาสเช่นนี้ จะช่วยให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้น อย่าลืมว่า เราสั่งสมปัญหามาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งอาจทำให้บางคนรู้สึกเบื่อ หมดหวัง ท้อแท้ การสร้างความหวังที่เป็นไปได้และให้กำลังใจแก่กันจึงสำคัญ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องใช้วิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างฐานสังคมที่สมดุลยั่งยืนในอนาคต ดีกว่าซ้ำเติมและก่นด่ากันไป ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร

เพราะการเห็น เข้าใจ และยอมรับความจริง ดังกล่าวเป็นหลัก การพื้นฐานทั่วไป ซึ่งออกจะนามธรรม แต่หากอยากเห็น จับต้องความสำเร็จ ก็ต้องมิควรมองข้าม เพราะเส้นทางปรองดองที่ยาวไกล จำเป็นต้องเริ่มเดินจากก้าวแรกเสมอ
             รูปแบบการปรองดอง ควรจะออกมาอย่างไรนั้น อาจารย์บอกว่า โดยส่วนตัวเห็นว่า ปัญหาครั้งนี้เกิดจากการเสียสมดุลของภาคการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ฯลฯ ดังนั้น แนวทางการสร้างความปรองดองนอกจากกลับไปตั้งหลักดังเงื่อนไขที่ได้กล่าว พร้อมตั้งคณะทำงานระดับต่างๆร่วมสืบสาวต้นตอของวิกฤติ ประมวล วางแผนร่วมกัน และให้ทำโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ปรับแก้ฐานต่างๆให้เกิดสมดุล

              เป็นต้นว่า 1.ต้องปรับวิธีคิดแยกส่วน เพิ่มวิธีคิดแบบองค์รวมให้มากยิ่งขึ้น วิกฤติของสังคมส่วนหนึ่งมาจากปัญหาวิธีคิดแยกส่วน การชั่วไม่มีดี ขาวไม่มีดำ และมองไม่เห็นพลวัตที่เกี่ยวเนื่องโยงกระทบต่อกันทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ชาวบ้านปลูกผักมุ่งขายทำกำไร แต่ไม่เคยใส่ใจสุขภาพผู้บริโภค จึงใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อให้ผักงามและขายได้ คนกิน จะเป็นอย่างไรไม่สนใจ หรือสื่อสารมวลชน นำเสนอข่าวที่บิดเบือน เลือกข้าง โดยไม่จำแนกแยกแยะเด่นด้อย และทางออกให้ผู้บริโภค มุ่งสร้าง (สื่อ) เพื่อเสพ เช่น หนังละคร เพื่อให้คนเสพสถานการณ์ เรื่องราวและตกเป็นเหยื่อพร้อมกับสร้างรายได้ แต่ขาดสำนึกในการสร้างสื่อเพื่อสร้างคน เป็นต้น จึงเห็นความคิดเว้าโหว่บางจุด เช่น ตัวเอกในเรื่อง มีแต่ด้านดีไม่มีเสีย ขณะตัวร้าย ก็ร้ายตลอดเรื่องไม่มีดี ซึ่งผิดวิสัยวิถีของความเป็นมนุษย์ แต่เราก็ยังสร้างกันอยู่ ดังนั้น รูปแบบการเพิ่มวิธีคิดแบบองค์รวม จึง ต้องเริ่มจากประชาคมเหล่านี้ ชาวบ้าน ภาคราชการ นักวิชาการ สื่อสารมวลชน ภาคธุรกิจ ให้มีฐานคิดร่วมกัน มองความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันพร้อมรับผิดชอบผลที่เกิดร่วมกัน

2.ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและเพิ่มการเข้าถึงทรัพยากรของกลุ่มผู้ด้อยโอกาส เพิ่มภาษีคนรวยช่วยคนจน คงไว้ประชานิยมเฉพาะที่สำคัญ จำเป็น ทั่วถึง และยกเลิกบางรายการที่ใช้หาเสียง

3.ลดอำนาจส่วนกลาง เพิ่มอำนาจชุมชนอย่างแท้จริงในการจัดการตนเอง เช่นสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า วางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับระบบตลาด มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ฯลฯ เพิ่มมิติแนวราบในการบริหารจัดการตนเองโดยภาคประชาคม

4.ลดการเมืองแบบผู้แทน เพิ่มการเมืองภาคประชาชน เพิ่มความเข้าใจและยอมรับประชาธิปไตยในหลายมิติ ให้มากกว่าเสียงข้างมากหรือการเข้าใจเพียงการเลือกตั้ง เช่น การทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ ผู้แทนพื้นที่ บุคคลสาธารณะ การตรวจสอบและรับผิดชอบทางการเมือง เป็นต้น

5.ลดรูปแบบที่เทอะทะ เพิ่มเนื้อหาที่แม่นตรงต่อการมีอยู่และเป็นไป ทั้งในระดับปัจเจกและสังคม

ดังนั้น การปรองดอง จึงไม่ใช่เพียงรูปแบบของการร้องเพลง ตัดผม กินกล้วย จับมือ สาบานตน แต่ต้องเข้าถึงแก่นรวมร่วมกัน

นอกจากนั้นควรลดการสร้างวาทกรรมที่นำไปสู่วิกฤติหรือข้อขัดแย้ง ลดระบบอุปถัมภ์ เพิ่มการยอมรับความสามารถและความดี เพื่อให้เกิดมิติใหม่ทางสังคม แก้ปัญหารากหญ้า เริ่มที่ปากท้องของชาวบ้านผ่านระบบการผลิตที่ยั่งยืนของชุมชน ปฏิรูปการเรียนรู้ การศึกษาเพื่อการสร้างสำนึกใหม่ อภิวัฒน์จากภายในสู่ภายนอก ของแต่ละปัจเจก ครอบครัว หมู่บ้าน ชุมชน สังคม เกิดการเรียนรู้ที่แม่นตรงของภาคประชาคม คืนธรรมชาติ ดูแลทรัพยากรทางธรรมชาติ ประเพณีวัฒนธรรม ที่สำคัญและให้สอดคล้องเหมาะสมกับยุคสมัย และคืนธรรม คืนความเป็นกลางและเป็นธรรมในทุกมิติให้กับคนในสังคม  แล้วการเมืองเราต้องอย่างไร ถึงจะมีเสถียรภาพ อาจารย์บอกว่า การเมืองที่นำไปสู่เสถียรภาพ ต้องเริ่มจากภาคประชาคม (ชาวบ้านภาคราชการ องค์กรเอกชน นักวิชาการ สื่อมวลชน) ไม่ใช่รัฐสภา ไม่ใช่รัฐบาล แต่กลุ่มเล็กๆในชุมชนเหล่านี้ต้องเกิด จึงจะเป็นการเมืองที่เคารพ สมานฉันท์ และมุ่งประโยชน์โดยรวมได้ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าควรมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ ใน 2 ด้าน คือ 1.คน ต้องการสร้างสำนึกใหม่ ให้รับผิดชอบต่อส่วนรวมให้เกิดการรัก เคารพในความเป็นมนุษย์และการเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ส่งเสริมให้มีจริยธรรมทางการเมือง และผู้แทนที่มีนโยบายและกระบวนทัศน์ในการพัฒนาอย่างแท้จริง

2.ระบบ ต้องปรับปรุงระบบการเป็นตัวแทนให้มีลักษณะหลายมิติ ลดการผูกขาด อย่างน้อยควรมีตัวแทนจากพื้นที่ ตัวแทนวิชาชีพ และตัวแทน เชิงนโยบายจากพรรคการเมือง ปรับปรุงระบบความชอบธรรม ระบบการ ตรวจสอบภายในที่มีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้งโดยตรง โครงสร้างระบบการเมืองไทย ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ต้องแยกจากกันมากขึ้นในแง่การทำงาน แต่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลกันและกันได้มากขึ้น และภาคประชาชนสร้างระบบและโครงสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมือง สร้างเครือข่ายขบวนการประชาชนอย่างหลากหลาย

ข้อที่ควรจะขจัดไปจากการเมือง เพื่อให้ประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้น อาจารย์บอกว่า ต้องขจัดเรื่อง การเมืองเรื่องผลประโยชน์ส่วน ตน ธุรกิจการเมือง และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า อำนาจการปกครองที่แท้จริงเป็นของประชาชน”.
 
 
ขอบคุณ คุณสัจภูมิ ละออ  ผู้สื่อข่าว สกรุ๊ปหน้า 1 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันศุกร์ ที่ 13 มิถุนายน 2557 หน้า 5 รายละเอียดอ้างอิงจาก http://www.thairath.co.th/content/428981

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทัศนาคนสันภู

.......ท่ามลานหิน บนดอยสูง เราคุยกันหลายเรื่อง ได้มุมหลายรส ทุกคำถามล้วนสำคัญกว่าคำตอบ ซึ่งคำตอบที่เอื้อนเอ่ย ล้วนมาจากคำถามที่ปลุกเร้าและทรงพลัง  กระนั้นคำตอบ ก็เป็นได้เพียงบางมุมที่สะท้อน เป็นเพียงบางมุมที่เอื้อนเอ่ย ตอบในมุมของคนสันภู คนเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น หาใช่คำตอบโดยรวมไม่

มีแรงบันดาลใจอะไรจึงมาเลือกวิชาชีพครู
          ทุกอาชีพ มี ธง ในการทำงาน คล้ายๆกัน คือ สุข และ สำเร็จ  หากจะต่าง ก็ต่างกันตรง ทาง สู่ สุขและสำเร็จ และจะเรียงลำดับ สุขหรือสำเร็จ นำหน้าก่อนหรือหลัง 
          ผมเลือกอาชีพ ครู เพราะ สร้าง สุข ได้ง่าย เพียงเห็นไรฟันและเสียงฮาเฮ ของเด็กๆ ก็สุขแล้ว นี่คือแรงบันดาลใจ ฟังดูอาจคล้ายนางสาวไทยตอบคำถามกรรมการประกวดฯ นะครับ แต่ผมว่ามันต่างกันนะ

เป็นครูมากี่ปีและมีความรู้สึกอย่างไร
          23 พฤษภา ที่ผ่านมา ครบ 14 ปีเต็ม  .....ความรู้สึกนั้น คงไม่เกินไป หากจะบอกว่า 90% เป็นความสุขและพลัง ....สุขและพลังที่ได้เรียนรู้ ไปพร้อมๆกับผู้อื่น  

ทำไมจึงต้อง ..."ดอย"
          มีเพลงบทหนึ่ง ซึ่งร้องจากเสียงภายในของเด็กน้อยและผู้ขาดโอกาส ...แต้มวาดลีลาคีตการ ...ขมขื่น กระซิบให้เราได้ยินว่า เขาไม่ต้องการอะไร ...สิ่งที่อยากได้  ...ครูและหมอ สักคนดีดี แก้วแหวนมณี ฉันไม่ต้องการ แก้วแหวนมณี ฉันไม่ต้องการ

 ความต่างระหว่าง โรงเรียนบนดอยกับเมือง
           บนดอย ...ท้าท้ายกว่า ...ใจพองโตกว่า ...ตื่นเต้นกว่า เพราะต้องทำงานบนความขาดแคลน ขณะที่เมือง เขาคุยเรื่อง management  บนดอยยังคุย เรื่อง Material อยู่   .... ธง ก็ได้ปักหมุดหมายไว้แล้วว่า เด็กๆทุกคน บนผืนดินไทย ควรมีความเสมอภาคกัน เสมอภาคในการเข้าถึงทรัพยากร เข้าถึงการมีคุณภาพ พวกเราทุกคน จึงต้อง เร่งสร้าง เร่งทำ เพื่อให้ ธง นั้นแจ่มชัดขึ้น ไม่มีเวลาท้อ  ล้า นี่คือนิยามความต่างของผม...

 ปัญหาการศึกษา
          ไม่อยากมองว่า สภาพการณ์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้คือ ปัญหา อยากให้มองว่า นี่คือโอกาสในการพัฒนามากกว่า เราจัดการศึกษาต่อเนื่อง มาหลายปี มันต้องมีพัฒนาการบ้าง อย่างน้อย ก็ไม่ได้อยู่จุดเดิม หากเห็นว่า ยังคงเดิม ต้องตรวจสอบฐานคิดของเราใหม่ เพราะความเข้าใจ สำหรับผม การศึกษา คือกระบวนการพัฒนานั่นเอง.....
          แน่นอน ระหว่าง ทาง สู่ ธง คุณภาพนั้น ย่อมมีอุปสรรค รายทางบ้าง เป็นธรรมดา แต่หากคิดว่า นี่คือการเรียนรู้ รู้ที่จะเรียนและปรับประยุกต์ ผมว่า การศึกษาได้ทำให้เกิดการพัฒนาแล้ว มองแบบนี้จะไม่มีปัญหาครับ


บางส่วน ในการให้สัมภาษณ์ประกอบหนังสือ ของคุณ นพพร อินสว่าง
CEO นาโฮแกนิก ณ โรงเรียนบ้านแม่ลิด
13 มิถุนายน 2557


วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

มรรคาวิถี

           ...ลมร้อนอ้าวแดด กลางเดือนเมษา พัดอวลไอระอุมาเป็นระลอก ๆ  หากถามคิดกันเล่น ๆ เพื่อเล่นสนาน ท่ามกลางลานร้อนลม ที่พัดพาในช่วงนี้ ว่า แมลงปอปีกสวย สามารถเป็นไผ่ ลำงาม, เป็น นก ผู้ชำนาญการว่ายฟ้า หรือเป็นเจ้า กษัตริยา ของมนุษยชาติได้ไหม?  แน่นอน โดยตรรกะทางกายภาพ, ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์อื่นใดที่เรามี ย่อมรู้เป็นฐานเดียวกันว่า แมลงปอ เป็น กอไผ่  ไม่ได้  ต่อให้มีปีกบินฟ้าได้ดังนก ก็หาเป็น นก ได้ไม่...

          ...อีกไม่นาน หลังลมร้อนซาสาย ไฟป่าซาควัน และวันฝนพรำพื้น  คงได้เห็นความงามของพืชและไม้ป่าเขียวขจีกันอีกครั้ง ครานั้น จะได้เห็นหน่ออ่อนของไผ่กอ ค่อยๆ แทงดินเยี่ยมฟ้า กว่าจะเสียดยอดโผล่พ้น จนสามารถเนิ้งลำไหวเอนเล่นลมได้นั้น ย่อมต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นานา แม้นรูปลักษณ์ อาจผิดแผกแตกต่างไปบ้าง ในแต่ละข้อปล้อง เช่น เล็ก ใหญ่ หัก ตรง โค้ง งอ ตามรอยทางที่เข่นเฆี่ยน  ซึ่งมิอาจสมดั่งใจ ที่หวังไว้แต่เดิม ก็ตามที แต่สุดท้าย ไผ่ก็ยังหยัดลำยืนต้น เป็น ไม้ไผ่  ได้อย่างทรนง และคงเผ่าพันธุ์ของมันไว้ได้ หาได้แผกเหล่าแตกกอ เป็นมะม่วง มะนาว ไม่  ....

....นกนางนวล โจนาธาน แสวงหาวิถีแห่งอิสรภาพ จึงหยัดกล้า ปฏิวัติ  กางปีกว่ายฟ้า นอกมรรคาวิถี ที่นกทั้งหลายเคยบิน ท่ามกลางกระสุนค้านคัดและมรสุมหยามหยัน จากผองพวก ด้วยกัน ทำนองว่า บ้าไปแล้วบ้าง นอกคอกบ้าง นอกรีตบ้าง  ทั้งนี้ เนื่องเพราะต่างจากความเคยชินและวิถีแห่งนางนวลที่เคยเป็นมา  อย่างไรก็ตาม เจ้าโจนาธาน ก็เพียรพยามเสาะแสวงหา บิน บิน บิน และบิน จนบรรลุสู่ อิสรภาวะ ที่งดงามได้ แน่นอน นกขี้ขลาดหรือนางนวลอ่อนแอ ย่อมไม่มีทางทำได้....

....เหล่าวีรบุรุษของชาติชน เช่น มหาตมะ คานที ลุงโฮฯ แห่งเวียงเวียด และเหล่ามหาราชกษัตริยา ทุกแผ่นดิน ล้วนแล้วแต่เจ็บปวดแผล อันเกิดจากการต่อสู้กับอริราชศัตรู ในรอยทางของวันเวลา ที่เนิ่นนาน มาแล้วทั้งสิ้น   ผิวกาย ภายนอก จึงฟกช้ำ ดำกร้าน แข็งหยาบ และสากหนา ตามเหตุ ปัจจัย ด้วยกันทั้งนั้น แต่หากระทบและเกิดแผล แห่งโลกภายในแม้แต่น้อย ทุกท่านต่างยืนหยัด ต่อสู้ ในวิถีแห่งตน จนสามารถประกาศชัยได้อย่างสง่างาม ....

.......เหล่าไผ่  นางนวล คน(วีรบุรุษ) ทั้งหลาย ล้วนมีความต่างในความเหมือน  ความต่างใน ธงทาง ของใครของมัน แต่ล้วนมีความเหมือน ในการหยัดยืนและมั่นคง ในมรรคาวิถีแห่งตน ว่าสามารถชูธงไสวไกวสบัดได้ ท่ามรุ่งอรุณแห่งชัย ของฟ้าวันใหม่ ในวันหนึ่ง...

..... เมื่อมองวิถีแห่งการหยัดยืน ใน ธงทาง ที่ชัดเจนทั้งกอไผ่ นก คน แล้ว จะเห็นได้ว่า ทั้งหลาย  มุ่งมั่นที่จะเดิน เดิน เดิน และเดิน   บิน บิน  บินและบิน ฯลฯ ในวิถีแห่งตน  เปียกเปื้อนอุปสรรค แต่มิมี ริ้วรอยแห่งความระย่อท้อถอย แม้แต่น้อย ทั้งหลาย จึงสู่ฝั่งฝัน ได้สำเร็จ...

.......ด้วยเหตุประการนี้ หากแมลงปอตัวน้อย จะลองเยี่ยง ไผ่ นก บ้าง  โดยมุ่งมั่น ค้นหา ธงทาง  แห่งตน เริ่มต้นที่ก้าวแรก อันมั่นคงและมั่นใจ 

 ......ไม่แน่ดอก ลมร้อนอ้าวแดด กลางเดือนเมษา พัดอวลไอระอุมาเป็นระลอก ๆ อาจหอบชัย มายามเยือนเจ้าก็ได้นะแมลงปอ  คำถามเล่นๆ เพื่อเล่นสนุกสนาน ท่ามกลางลานลมร้อน ว่า แมลงปอ เป็น ไผ่ เป็น นก ได้หรือไม่ เจ้าเท่านั้นที่รู้ .....


     พิณ คืนเพ็ญ
ร้อนลมเมษา ห้าเจ็ด
     แม่สะเรียง

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทกวีความรัก

บทกวีความรัก - อ. เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
http://player.soundcloud.com/player.swf?url=http%3A%2F%2Fsoundcloud.com%2Fnattapong%2Fc-fakepath-03
"ความรัก"
ความรักไม่ต้องการแค่วันเดียว
ความรักไม่ต้องเกี่ยวกับวันไหน
ความรักไม่ต้องมีเวลาใด
ความรักไม่ต้องใช้ให้ใครชี้

ความรักไม่ต้องมีข้อวิจารณ์
ความรักไม่ต้องการการกดขี่
ความรักไม่ต้องให้ใครตราตี
ความรักไม่ต้องมีเส้นพรมแดน

ความรักไม่ต้องรอข้อพิสูจน์
ความรักไม่ต้องพูดตามแบบแผน
ความรักไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
ความรักไม่ต้องแค่นหัวใจคน

ความรักไม่ต้องการการเป็นต่อ
ความรักไม่ต้องรอขอเหตุผล
ความรักไม่ต้องย้ำความมีจน
ความรักไม่ต้องทนที่จะรัก

ความรักคือหัวใจให้แก่กัน
ความรักคือนิรันดร์มั่นสมัคร
ความรักคือศรัทธาสามิภักดิ์
ความรักคือความประจักษ์ในใจเรา

ความรักคือนิยายไร้นิยาม
ความรักคือความงามใช่ความเขลา
ความรักคือหมอกควันอันบางเบา
ความรักคือการเฝ้าเข้าใจกัน

ความรักคือสำเนียงเสียงปลอบปลุก
ความรักคือความทุกข์และสุขสันต์
ความรักคือเสน่ห์หาสารพัน
ความรักคือความฝันอันตราตรู

ความรักคือศิลปะของหัวใจ
ความรักคือสายใยโยงใจอยู่
ความรักคือการให้ไม่หมายรู้
ความรักคือใจผู้รู้ค่ารัก

ใบศรี
เหมือนไข่มุกเมื่อหล่นบนจานหยก
วณิพกพ่ายสิ้นเพียงยินเสียง
มธุรสโอษฐ์ฉะอ้อนประอรเอียง
ดาลเผดียงดาเรศเนตรอนงค์

รอยลักยิ้มริมแก้มเมื่อแย้มยิ้ม
พิศยิ่งพิมพ์ใจพึงตะลึงหลง
ช้อนชะม้ายชายมาพาพะวง
อยากผจงจุมพิตสนิทนวล

เกล้ากระหวัดรัดเกี้ยวเกลียวเกศแก้ว
รอยไรแนวเนียนระดับรับถี่ถ้วน
เจ้าปักปิ่นปัทมาค่าเคียงควร
ชดช้อยชวนเชยหวังระวังแวง

เทียบทุกคำที่เขียนคือเทียนไข
ผู้เผาไหม้ตัวเองเพื่อเปล่งแสง
ยิ่งค่าความงามเทิดเจิดแจรง
ยิ่งเสียดแทงหัทยางค์ให้ร้างเลย

อย่าให้เหมือนใบศรีที่เบิกขวัญ
พอเสร็จพลันเป็นใบตองนะน้องเอ๋ย
ถนอมหน่อยอย่าลอยร้างไปอย่างเคย
เก็บไว้เชยเมื่อช้ำเช็ดน้ำตา

บนลานอโศก
หยาดน้ำแก้วกลอกกลิ้งกิ่งอโศก
โลกทั้งโลกลอยระหว่างความว่างเปล่า
มีความรื่นร่มเย็นแผ่เป็นเงา
ลมแผ่วเบาบอกลำนำคำกวี

เราพบกันฝันไกลในความรัก
เริ่มรู้จักซึ้งใจในทุกที่
มีแต่เรามิมีใครในที่นี้
ใบไม้สีสดสวยโบกอวยชัย

อยากให้รู้ว่ารักสักเท่าฟ้า
หมดภาษาจะพิสูจน์พูดรักได้
เต็มอยู่ในความว่างกว้างและไกล
คือหัวใจสองดวงห่วงหากัน

หลับตาเถิดที่รักเพื่อพักผ่อน
ฟังเพลงกลอนพี่กล่อมถนอมขวัญ
ใจระงับรับใจในจำนรรจ์
ต่างแพรพันผูกใจห่มให้นอน

โอ้ดอกเอ๋ยดอกโศกตกจากต้น
เปียกน้ำฝนปนทรายปลายเกษร
โศกสำนึกหนาวกมลคนสัญจร
นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะร่อนลง

เมตตาแล้วแก้วตาอย่าทิ้งทอด
ช่วยให้รอดอย่าปล่อยบินลอยหลง
จะหุบปีกหุบปากฝากใจปลง
ขอเกาะกรงแก้วกมลไปจนตาย

งามเอยงามนัก
แฉล้มพักตร์ผ่องเหมือนเมื่อเดือนฉาย
งามตาค้อนคมเยื้องชำเลืองชาย
ลักยิ้มอายแอบยิ้มงามนิ่มนวล

จะห่างไกลไปนิดก็คิดถึง
ครั้นดื้อดึงโดยใจก็ไห้หวล
ถนอมงามน้ำใจควรไม่ควร
ให้ปั่นป่วนทั่วทุกยามนะความรัก

ผีเสื้อทิพย์พริบพร้อยลอยแตะแต้ม
เผยอแย้มยิ้มละไมใจประจักษ์
ทุกก้านกิ่งมิ่งไม้เหมือนทายทัก
ร้อยสลักใจเราให้เฝ้ารอ

ฝันถึงดอกบัวแดงแฝงผึ้งภู่
คล้ายพี่อยู่เป็นเพื่อนในเรือนหอ
ชื่นเสน่ห์เกษรอ่อนละออ
โอ้ละหนอหนาวนักเอารักอิง

ในห้วงความคิดถึงซึ่งเงียบเหงา
ใจสองเราเลื่อนลอยอย่างอ้อยอิ่ง
คอยคืนวันฝันเห็นจะเป็นจริง
โลกหยุดนิ่งในสนิทแนบนิทรา

ร่มอโศกสดใสในความฝัน
ร่มนิรันดร์ลานสวาทปรารถนา
ร่มลำธารสีเทาเจ้าพระยา
และร่มอาณาจักรความรักเรา.

อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
.........................................
 
ขอบพระคุณบทกวีที่ทรงคุณค่า และจารจดนิยามแห่งความรักไว้อย่างลึกซึ้ง ครอบคลุม และอ่อนหวานยิ่งนัก ขอคารวะด้วยใจจริง
 
พิณ คืนเพ็ญ
 

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สวรรค์

           เช้าวันหยุด ที่สุดแสนผ่อนคลาย ขณะคุณพ่อกำลังทอดน่องความคิด พร้อมๆกับหยาดพรมความฉ่ำชุ่มแก่มวลไม้ดอก ลูกสาววัยกระเปี๊ยก ก็วิ่งหน้าตื่นตาตั้ง ตะโกนด้วยเสียงอันดัง เป็นใบเบิกทาง...
ลูก : พ่อจ๋า ๆ นางฟ้ากับเทวดาน้อย มีจริงๆ ด้วย
ผู้เป็นพ่อฉงน แต่ก็ตั้งหลักพิจ พร้อมรำพึงท่ามสายลมเรียบเฉื่อยของเช้าอันอ่อนนุ่ม
อืมมม...จะมาไม้ไหนอีกหนอ
พ่อ : นางฟ้า เทวดา อะไรเหรอลูก
ลูก : ก็โอวันตินไง (เจ้าลูกหมาตัวน้อย คุณตาของเธอนำไปฝังใต้ต้นขนุน เมื่อเดือนก่อน) ตอนนี้ไปอยู่สวรรค์กับนางฟ้าเทวดาน้อยแล้ว
พ่อ : ลูกรู้ได้ยังไง
ลูก : ก็ในดินไม่มีโอวันตินแล้ว แสดงว่าไปอยู่สวรรค์แล้ว
พ่อ : เหรอ
ลูก: ค่ะ แล้วพ่ออยากไปสวรรค์ไหม
พ่อหยุดคิดนิดนึง พร้อมพยักหน้าต่างคำตอบ
ลูก : พ่ออยากเห็นนางฟ้าเทวดาน้อยไหม
พ่อหงึกหงักอีกครั้ง
ลูก : ถ้าอยากไปสวรรค์ ต้องรักษาศีล ศีลจะทำให้ไปสวรรค์ค่ะ
พ่อ: ........อืมมมม...... ก่อนหงึกหงักอีกครั้ง

       พิณ คืนเพ็ญ

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

ก่อฝัน


"ณ คืนฟ้าฉ่ำดาว 
หยดหนาวค้างใบ
สงัดเสียงเพลงใบไม้
ฉันสุมไฟ...ก่อฝัน..."

      ท่ามกลางราตรีอันยะเยือกหนาว ดวงดาวแต่งแต้มฟ้าเรียงราย ลมหนาวบนดอย ช่างสุดจะบรรยาย แต่หนาวกายหาได้สะเทือนถึงหัวใจ เพราะมีโอกาสได้สุมไฟก่อฝัน ฟังและใคร่ครวญคำงาม จากวิถีของผู้ใหญ่ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์และทางแห่งชีวิต เป็นผู้มีมิติแห่งการให้เกื้อกูลเพื่อปรุงฝันแด่ผู้อื่น แม้ท่านทั้งสองอาจสูงด้วยศักดิ์ หน้าที่ การงาน ภูมิรู้ และภูมิฐาน แต่กลับใช้ชีวิตเรียบง่าย ซึ่งอาจหาได้มิมากนัก ช่างมีภูมิธรรมและมรรคปฏิบัติงามยิ่ง ....
       นับเป็นเกียรติสำหรับผมและคณะที่ได้มีโอกาสต้อนรับ รับฟังและชื่นชมสิ่งที่ดีงามจาก ท่านทั้งสอง คุณหมออุสาห์ บุนนาค และคุณลุงน้อย อรชุน บุนนาค ครับ

   พิณ คืนเพ็ญ
โรงเรียนบ้านแม่ลิด

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

ทันเท่า สุขแล้วมั้ง


ตะวัน...บอกเธอรึเปล่า
เหงา...ใช่มาเพราะแสงแดด
ชะนีป่าที่โผยแผด
ใช่กร้านแดดแล้วจึงโหย

ลม...บอกเธอรึเปล่า
จุฬาว่าวที่ร้าวโรย
สนูสายไห้โอดโอย
ใช่ฟ้าโบยแส้เฆี่ยนตี

มีใคร...บอกเธอรึเปล่า
โลกเราก็เท่านี้
เท่าที่เห็นเท่าที่มี
ทันเท่านี้ สุขแล้วมั้ง...

....พิณ คืนเพ็ญ....

ดื่นดึกคืนเยือกหนาว
หมอกอาบดาวจนขาวโพลน
ภูสูงสุดไกลโพ้น
ใช่กั้นใจให้ไกลเธอ
.....คิดถึงเธอนะลูกสาว...
     8 มกรา 57
      แม่ลิด