วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อิสรภาพ

คนเรา มักพูดเสมอว่า
ตนนั้น ฉลาด กว่าสัตว์เดรัจฉาน
ตนนั้น มีอารยะ
ตนนั้น มีความสามารถ
ตนนั้น เหนือกว่าสรรพสัตว์
 ฯลฯ
...อะไรประมาณนั้น
จึงมีคำถาม เล่นๆ ว่า ที่ว่า ฉลาด แท้แล้ว ฉลาดจริงหรือ? 
ที่ว่าเหนือกว่า  เหนือกว่า จริงหรือ?
เพราะใน ความฉลาดและสถานะ เหนือ กว่า  ตามที่เข้าใจ
ทำไมกลับใช้ชีวิต ไร้ อิสรภาพ เข้าไปทุกขณะ
ชีวิตยุ่งยาก วุ่นวายเข้าไปทุกวี่วัน
คุณโจน จันได ยกตัวอย่าง เรื่องนี้ได้ชัดว่า
"คนเข้าใจว่าตนฉลาด แต่ใช้เวลาทั้งชีวิต เพียงเพื่อหาบ้านสักหลัง ทำงานหาเงิน เพื่อครอบครองเหล็กเดินได้ สักคัน... ต่างกับนกที่สร้างบ้านเพียงสามวัน เวลาที่เหลือนั้น คือการบินโผสู่ฟ้ากว้างอย่างเสรี"
คนเราฉลาดจริงหรือ?
จึงเป็นคำถาม คำถามที่คำตอบเองก็ยังลอยนวล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะตอบคำถามได้ดี น่าจะเป็นผู้ถาม คำถามเองนั่นแหละ


กิจกรรม ค่ายแลกเปลี่ยน กับ ร.ร. รีเจนท์พัทยา พร้อมคณะในครั้งนี้ ผมได้เลือก บ้านดิน เป็นตัวเดินเรื่อง เดินเรื่องตาม แบบ ทางกายภาพ คือ สร้างห้องสมุดบ้านดิน เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่อยากได้และไปให้ถึง คือการเห็นและเป็น ในสาระ แห่ง แบบ  นั้น คือ เข้าใจและมีวิถีอันหนึ่งเดียวกับบ้านดิน ให้มากกว่า  เพราะวิธีคิดของบ้านดิน บอกว่า บ้านไม่ใช่สิ่งที่ยาก แต่เราเห็นและทำให้เป็นเรื่องยากเอง หากคิดง่าย ๆ ทำง่าย ๆ ชีวิตมันก็เรียบง่ายตาม
      ครับ เห็นท่าจะจริงดังที่เขาพูด แม้ห้องสมุดบ้านดินหลังนี้ อาจสร้างมิเสร็จในเวลา สองสามวัน เยี่ยงนกสร้างรังก็ตาม แต่ดินก้อนแรก แห่งอิสรภาพ ได้ก่อขึ้นอย่างเรียบง่าย ด้วยวิธีการง่ายๆ และในเร็ววัน ก็คงสำเร็จเสร็จสิ้นลงได้ อย่างง่ายๆ เช่นกัน
     ต้องขอขอบพระคุณ แบบ ที่นำเราไปสู่ สาระ ขอบคุณ บ้านดิน ที่นำเราไปสู่ วิถีง่ายงาม ขอบคุณพี่น้องทุกชาติพันธุ์ ที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่ดีต่อกัน
     แม้อิสรภาพมิอาจเกิดขึ้นได้ ในทันใด แต่ก็มั่นใจว่า ได้ทำในสิ่งที่ง่ายงาม เพื่อความงาม ภายใน แห่งเราแล้ว
     

      พิณ คืนเพ็ญ
สร้างห้องสมุดบ้านดิน
ค่ายรีเจนท์ วอซอ และเซี่ยงไฮ้
       24-28 พ.ย. 56

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กล้าดาวแห่งขุนไพร: ดาวที่กล้าเปลี่ยนย้ายสู่ฐานคิดคุณภาพ

       หลังจาก สึนามิทางสังคม ได้โถมกระหน่ำซัดฝ่ายจัด การศึกษาของไทย นับแต่ผลจัดอันดับคุณภาพการศึกษาของ ดับเบิ้ลยู อี เอฟ แจ้งชัดว่า ไทยเรารั้งท้ายเพื่อนบ้าน ทำเอา หลายฝ่าย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อประเด็นดังกล่าวกันยกใหญ่ พร้อมๆกับมีความเคลื่อนไหว เป็นระลอกคลื่นตามมาที่น่าสนใจ น่าสนใจที่ทุกส่วน ตระหนักและเห็นความสำคัญของการศึกษา มากขึ้น อย่างน้อย ก็มากกว่าลมปากที่เคยพรั่งพรู ดังก่อนมา เห็นได้จาก มีการเสนอทาง เพื่อ ก้าวเดิน ไปสู่ความสำเร็จ อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เค้ารางของธงชัย จึงเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆและมีหวังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างลางๆ

 .....ถึงแม้บางอย่าง อาจจะไม่เกี่ยวเนื่องกันเสียทีเดียว แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า ผลของคลื่นยักษ์ดังกล่าว มีส่วนต่อ ท่าที และ วิถี ที่ทุกส่วนได้เดินมาก่อนหน้า รวมทั้งก้าวแต่นี้ ที่จักดำเนินไป ทำให้ประเด็นการศึกษา แผ่ซ่านซึมลึกในมรรคาของผู้คนในสังคม กว่าก่อนเดิมอย่างมีนัยยะ

......ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด...คือ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ร่วมเดินทางกับคณะลุง อา พี่ เพื่อน แห่ง สพป.มส.2 เยี่ยมเยือน พี่น้องครู หลายโรงเรียน ตามโครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก ของสำนักเขตพื้นที่ฯ ที่ได้จัดขึ้น นี่ก็นับเป็นตัวอย่างของก้าวที่ได้เดินมาก่อนหน้า ในอีกหลายๆเรื่องและก็อีกหลายๆอย่าง ซึ่งกำลังจัดวางในที่ทาง ที่เหมาะสม มีโอกาสจะได้สื่อสาร ผ่านห้องครัวอักษราแห่งนี้ในลำดับ ต่อไป

    จากการเดินทาง พวกเราได้เห็น ต้นกล้าหน่อดาว ที่รอวันโตสุกสกาวใส เป็นความหวังแห่งแผ่นดิน ในเกือบทุกหย่อมย่าง  เราพบว่า โหมดความคิดต่อการศึกษาของพี่น้องชนเผ่า บนพื้นที่ภูเขาสูง ได้ เปลี่ยนย้าย ย้ายจากเดิมที่ ให้น้ำหนักไปที่ โอกาส ในการเข้าถึงการศึกษา เช่น  อยากให้มีโรงเรียน อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ อยากให้มีครูมาสอน ฯลฯ แต่วันนี้ ทุกคน ได้ผ่องถ่ายของเก่า และไต่เต้าบันไดมุ่งสูคุณภาพการศึกษา กันทุกชาติพันธุ์ ย้ำชัดตรงกัน ว่า อยากให้ลูกหลาน อ่านออกเขียนได้ เป็นคนเก่ง คนดี มีงานทำ และนำสุขมาสู่ชีวิตและชุมชน ผู้ปกครองทุกหมู่บ้านที่คณะเราได้เห็น ต่างตั้งธงคุณภาพไว้ที่ตัวลูกหลานเป็นปลายทาง ส่วนรูปแบบ วิธีการ และการจัดการ (เรียนรวม พักนอน โรงเรียนเขตพื้นที่) นั้น สุดแท้แต่ หน่วยจัด (โรงเรียน) จักเห็นว่าเหมาะสม พวกเขาพร้อมสนับสนุนและร่วมดำเนินการเต็มที่.....

      ครับ นี่นับเป็นปรากฎการณ์ เปลี่ยนย้ายชุดความคิด โดยย้ายจาก ชุดความคิดหนึ่งไปสู่อีก ชุดความคิดหนึ่ง เป็นการเปลี่ยนย้าย ที่น่าสนใจ น่าสนใจตรงที่ว่า การย้าย  ครั้งนี้ อิงคุณภาพ เป็นฐานคิด และก้าวข้าม ปัญหา ข้อจำกัด อุปสรรค เล็กๆ น้อยๆ ที่จะเหนี่ยวรั้ง มิให้ ธงชัยโบกไหว สะบัดไกว.....

     "ผมขอสอนหนังสือ แต่งานการเงิน บัญชี พัสดุ งานธุรการ เข้าประชุม และอบรม ขอให้โรงเรียนที่มีครูเยอะๆ ทำหน้าที่แทน"  ครูหนุ่มคนหนึ่งกล่าว หลังจากที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรวมในบางชั้น เนื่องเพราะแบกรับภาระอันหนักอึ้ง ทั้งดอยกันดารไกล มีเขาเป็นครู อยู่คนเดียว

      "เฮากะหันดีโตย เพราะตึงวัน ครูเฮากะมีน้อย ไหนจะประชุม อบรม ขึ้นลง ดอย ละอ่อนแทบจะบ่ได้เฮียน ท่าเยี้ยะจะอี้ ผลดีจะเกิดกับละอ่อน" ผู้ปกครองอีกคน ย้ำยัน ข้อเสนอของครูหนุ่ม และแนวทางที่เขาเลือก

      ในขณะที่ผู้ปกครองอีกฟากดอย ซึ่งโรงเรียนมีนักเรียนยี่สิบกว่าคน ก็ร่วมกันคิดและหาทางออกว่า จะเปิดสอนตั้งแต่อนุบาล จนถึง ป. 2 ส่วน ป.3-6 จะไปเรียนรวมกับโรงเรียนอื่น ฯลฯ

 
        ครับ นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ของการเปลี่ยนย้ายชุดความคิดเก่า มาสู่ชุดความคิดใหม่ ที่อาศัย อิงติดเรื่องคุณภาพเป็นหลัก ของผู้ปกครอง ครู และผู้บริหาร ในหลายๆ โรงเรียน จึงนับเป็นโอกาสและภาพรุ่งอรุณที่งดงาม งดงามว่า จากนี้ไป โอกาส  ตรงนี้ จะทำให้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เห็น เข้าใจ กำหนดท่าที  ตลอดจน ดำเนินในวิถี สู่ คุณภาพ  เยี่ยงกัน

 
.....ครับ ดาวแห่งผืนไพร จักสุกสกาวใส ก็ด้วยเหตุปัจจัยที่พร้อมงาม  วันนี้ เจ้าของโรงเรียน  ที่แท้จริง เขาได้เปลี่ยนย้ายความคิดตน สู่ฐานคิดคุณภาพแล้ว อย่าให้ต้นกล้าและหน่อดาวเหล่านั้น อับแสงด้วยความบอดใบ้อีกเลย เพราะเมื่อมีโอกาสอันดีเช่นนี้แล้ว หากไม่รีบคว้า รีบสร้าง ก็ไม่แน่ใจว่า  พรุ่งนี้ จะมีทาง มีโอกาสดีๆ อีกหรือไม่ ...ฤาจะรอให้ สึนามิใหญ่ จากขุนไพร โถมซ้ำซัด จึงจะได้ เปลี่ยนย้าย และตื่นรู้  จากภวังค์ ของผู้หลับใหลใน บางใครคน.....

    
      พิณ คืนเพ็ญ
ยามเช้าก่อนเดินทางฯ
      3  ตุลา 56

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

ตัดเท้าให้เข้ากับเกือก

ขอบคุณภาพประกอบ
จากเฟสบุ๊ค สำนักข่าวเด็กและเยาวชน
สถานี RTV1
........สามสี่วันที่ผ่านมา มีข่าวพาดหัวตามสื่อต่างๆ ถึงการจัดลำดับคุณภาพทางการศึกษาไทย ว่ารั้งท้ายเพื่อนบ้านในอาเซียน เป็นรองแม้กระทั่งเขมร ทำเอาบรรดาผู้เกี่ยวข้องบางคนที่มีใบหน้าอันบอบบาง  ร้องจ๊าก เต้นผาง โวยวาย เจ็บปวด ตื่นตระหนก เสียหน้า ทำยังไงดี รับไม่ได้ ฯลฯ นานัปกิริยาและอาการกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมๆกับระลอกคลื่นแห่งการวิจารณ์  ก็โถมกระหน่ำซ้ำซัดเป็นอาฟเตอร์ช็อค ตามหลัง มิขาดสาย....
..........พูดก็พูดเถอะ เชื่อขนมกินได้เลยว่า ไม่ถึงเดือน เรื่องนี้ ก็จะเงียบ เงียบเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เคยเงียบมา
 ..........เราตื่นเต้น จับฉ่าย กับข่าว เรื่องราว เหตุการณ์ และกระแส แต่มิเคย ได้เรียนรู้อะไรอย่างลึกซึ้งจากกระแสอย่างแท้จริง มิเคยพรากพ้นจากวังวนของเหตุการณ์แบบเดิมๆที่ยึดติดเพียงผิวเปลือก แก่นแกนข้างใน หากลับได้พินิจถึง นี่มิต้องนับกระบวนการใคร่ครวญอย่างมีเหตุมีผล บนวิถีแห่งปัญญา ดังสังคมที่เจริญเป็นกันหรอก นั่นออกจะห่างไกล สำหรับเราอยู่มิน้อย เพราะยังทำความเข้าใจอย่างใคร่ครวญต่อสถานการณ์ต่างๆ ไม่พอ จึงเกิด ทาง ใหม่ ทั้งฉาบฉวย ไร้ราก ยอมเจ็บปวด และสูญเสีย เพียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่อยากได้ ต้องการ แม้จะไม่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบท และยอมได้แม้กระทั่งสูญเสียความเป็นตัวตนของตนไป ทาง หรือพฤติการณ์ที่เราเป็นนี้ โบราณ เรียกว่า "ตัดเท้าให้เข้ากับเกือก"

ภาพจากhttp://www.readyshopping.in.th/product/bigfoot-slipper
..........หลายปีก่อน มีนักมวย ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก จากมวยสากลสมัครเล่น เราก็เต้นตาม นำลูกหลานออกเตะกระสอบทรายเหยาะๆ แหยะๆ อยู่พักนึง จากนั้น คนไทยเราก็ชกลม เก็บนวม กลับบ้าน เงียบหาย ตามกัน
...........ต่อมาไม่นาน นักเทนนิสชาย ชื่อดัง เจ้าของท่าไหว้งาม ฝีมือท็อปฟอร์ม ไต่บันไดกีฬาได้ลำดับต้นๆ ของมือวางระดับโลก สื่อประโคมข่าวกันใหญ่ หลายคนชอบใจ คลั่งไคล้เป็นแฟนคลับ คนก็ส่งเสริมลูกหลาน ให้เล่น ให้เป็น นักกีฬาเทนนิส อยู่พักใหญ่ ตีมาตีไปคอร์ดดิน ยังไม่ทันลาย เราทั้งหลาย ก็ห่างหายลาลาน ตามฟอร์ม
...........มินานจากนั้น เทควันโดกีฬาฮิต นักกีฬาประสบความสำเร็จ ได้เหรียญและรางวัล พร้อมเห็นชุดเขาสวย ท่าเตะเขางาม ก็ส่งลูกหลานเข้าเรียน ตามคลินิกที่เปิดสอน ซึ่งผลุดบานดังดอกเห็ด เต็มห้างและซอกเมือง สักพัก ก็ม้วนเสื่อลาลาน ตามเดิม ตามฟอร์ม
...........สองเดือน ก่อนหน้านี้่ มีนักกีฬาแบดมินตันไทยไปแข่งรายการระดับโลก แข่งไปแข่งมา คงเห็นว่า กีฬาแบดฯ เอาดีได้ยาก ก็ไล่ทุบกำปั้นเป็นนักมวย แจกเข่าแจกศอกจนหัวถลอกปอกเปิก เป็นที่น่าอิดหนาระอาใจแก่ชาวโลกยิ่งนัก.... ด่ากันในเฟสอยู่พักนึง ก็ลืมกันไป ตามฟอร์ม ตามเดิม
 .........ไม่ถึงเดือนให้หลัง พลังตบขนไก่สาว ก็ผงาดตีฟาด สร้างชื่อกระหึ่มฟ้า คว้าแชมป์โลกแบดมินตัน มาให้คนไทยได้สำเร็จเป็นครั้งแรก กระแสนักมวยแบดฯ ก่อนหน้า ก็ค่อยๆเงียบจางลงอย่างรู้ตัว พร้อมๆกับการตื่นตัวใน ฟีเวอร์ คนใหม่ แบบเปรี้ยงปร้าง ซึ่งดังสนั่นสะท้านเมือง บรรดา ส.ส. รมต.ต่างแย่งตัวและเชิญเข้ามารับเงินรางวัล แจกกันเป็นแสน ให้กันเป็นล้าน ยังกับเงินเป็นแผ่นกระดาษ เอ 4 เหลือใช้....
............ครับ ถามหน่อยเถอะ เราได้เรียนรู้อะไร จากกระแสเหล่านี้บ้าง สนใจเพียงปลายทางความสำเร็จกระนั้นหรือ เบื้องหลัง ก่อนที่ คนในกระแส เหล่านี้ เขาจะมาถึงตรงจุดนี้ มีใครรู้ และสนใจอย่างใคร่ครวญบ้าง มีสักกี่คนรู้ ว่า เขาต้องผ่านอะไรมา ต้องต่อสู้กัดกรามกับความเจ็บปวด ทุกข์ท้อ มามากต่อมากสักปานใด กระสอบทรายสักกี่ใบเล่า ที่เขาถีบเตะต่อยต่างน้ำตา เฮดการ์ดกี่อันที่รำพันความขมขื่น สนับแขนกี่ข้าง ที่ป่ายป้องความตรมตรอม ไม่ต้องนับความเจ็บป่วยเมื่อยไข้ของสังขารจากการแข่งขัน ไม่ต้องนับโปรแกรมฝึกซ้อมที่เข้มงวด เคร่งครัดและอัดแน่น ในแต่ละวัน ไม่ต้องนับ อะไรต่อมิอะไรอีกหลายประการที่จะรำพึง เราไม่ได้นับ เราไม่ได้คิด เพราะมัวชื่นชมผล แต่ไม่เคยสนใจเหตุ เมื่อเหตุเป็นเช่นนั้น ผลก็ย่อมเป็นเช่นนี้......
............ผลคุณภาพทางการศึกษาไทย ที่ออกมาเช่นนี้ ก็ดังกัน เพราะความใคร่ครวญอย่างเข้าใจใน ทัศนะแม่บท ต่อการจัดการศึกษากับสิ่งที่เป็นกันอยู่ มันบิดเบี้ยว มิได้เป็นเหตุเป็นผลกัน อย่างจริงแท้ ต่อให้มีการจัดลำดับอีกสักพันครั้ง และหากมุมมอง มุมความเข้าใจ ตลอดจนมุมการปฏิบัติ ยังมิได้ตั้งอยู่บนฐานของเหตุและผล ที่ควรจะเป็นแล้ว ผลที่ออกมา ก็ย่อมเป็นเช่นนี้ ทุกทีไป ...
..........ทัศนะแม่บทว่า จัดการศึกษาเพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แล้วการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คืออะไร คือคนไทยเก่ง ดี มีสุข อย่างที่วางกันไว้ นั่นจริงไหม แล้วเราไปถึงตรงจุดนั้นหรือยัง เพราะอะไร มีเหตุปัจจัยอะไรทำให้สำเร็จ หรือล้มเหลว วิธีปฏิบัติ กระบวนการขับเคลื่อน ปัจจัยสนับสนุน พร้อมพอหรือยัง เรากางแผนกลยุทธ์ทางการศึกษา ในสมรภูมิสู้รบกับอวิชชาของคนไทยมากพอแล้วใช่หรือไม่ ที่สำคัญ เราได้ช่วยกันทำ ในทางที่ถูก ผ่านกระบวนวิถีแแห่งปัญญาแล้วหรือยัง ฯลฯ และยังเกรอะกรังด้วยพฤติการณ์ ตัดเท้าเพื่อเกือกงาม อีกกี่มากน้อย
..........ครับนี่ คือข่าว เรื่องราว เหตุการณ์ และกระแสที่ควรนำมาขบคิด ตรึกตรอง มองหาทางแก้ทางพัฒนาร่วมกัน มากกว่าการตื่นเต้น วางเฉย หรือลนลานกับ การณ์ ที่เกิดขึ้น เพราะนั่นเท่ากับเกาะติดเพียงความสูงหรือต่ำ ขึ้นหรือลง ของผิวคลื่นเท่านั้น หาได้หยั่งรู้ ลึกตื้น สะอาด ใส จืด เค็มของคลื่นน้ำเลแห่งความจริงที่โถมซัดสังคมไทยเราไม่ เลิกว่ายตามกระแส เห่อหลงตามอย่างเขา ที่เขาเป็น แต่มิได้ตรองตรึกถึงความเหมาะสม กับตัวตนของไทยเรา เสียที ....
 ...........ผมเองไม่ใช่ผู้ช่ำชองเชี่ยวชาญด้านการศึกษาอะไรหรอก มิได้มีเจตนาสอนบอกให้ใครด้วยซ้ำ และหากใครไม่เป็น เช่นว่า ก็ต้องขออภัย  ภูมิรู้ตัวผมเองก็ดุจหางอึ่ง หากแต่เห็นและตระหนักบางอย่าง อย่างน้อยก็รู้ว่า....เรามีเท้าที่สวยงาม เท้าที่งามนี้ มีไว้สำหรับหยุดคิดและเดินต่อเพื่อถึงจุดหมาย และเลือกตัดเกือก ให้เหมาะงามกับเท้าเราเช่นกัน....เช่นนั้นเอง


           พิณ คืนเพ็ญ
         บ้านแม่สะเรียง
       8 กันยายน 2556

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ดอกไม้บานแล้วพ่อ


วันดีดี อีกวัน
พาหมูน้อยของฉัน
ขี่คอปีนดอย ชมนา
หมูน้อย บอกว่า
บ่ต้องปีน ต้องป่าย
บ่ต้อง ไปตี้ไหน
ดอกหญ้าข้างไร่
ดอกไม้ในนา
บานงามนักหนา
พ่อเห็น งามไหม..คะ
 
อีกหนึ่งคำงาม
ถาม ธรรม ต่อพ่อ
ดอกไม้บานแล้วหนอ
พ่อเห็น งามไหม
บ่ต้อง ปีนต้องป่าย
บ่ต้อง ไปตี้ไหน
ดอกไม้ ในใจ
ของเรา ก็บานแล้ว...ค่ะ
 
          พิณ คืนเพ็ญ
 ริมทุ่งบ้านสุดห้วยนา ลำน้ำแม่ลิด
           24 สิงหา 56
 

 
 
 
 
 


 

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เห็นงามเหนืองาม















อันเนื่องด้วย งาม ...
น้ำฟ้าพรั่งพรมข้าวไร่เขียวชอุ่ม งาม อิ่มตา
สีเขียวสดของเรียวใบ ตัดฉากสีดำตอไม้เผา... งาม เข้ากันได้ดี
ห่างขุนภูหนึ่งวัน
เข้าสูดหมอกควันในเมืองใหญ่
เข้าใจ... เข้าใจ ...
ทำไมคนเมือง จึงใฝ่ถวิลหา สีเขียวงาม  แห่งดอยไพร
เข้าใจ ...เข้าใจ...
ทำไมคนดอยไกล
จึงตื่นตา ความศิวิไลซ์ งาม แห่งเมือง
เพราะสรรพสิ่ง เป็นเหตุแห่ง งาม
ดวงตา จึงต้องเฝ้าเห็น งาม
ดวงตางาม จึงต้องเห็น งาม เหนือ งาม
..............

     พิณ คืนเพ็ญ
      แม่ลิด- กทม.




 

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แมลงปอรำพึง















แดดบ่าย..ย้ายเยื่องตัวจากยอดภู
ค่อย ๆ คลาน โลมลูบผืนนาให้เปล่งแสง
หลังครึ้มหม่น ด้วยเมฆฝนมาค่อนวัน
ขณะเดียวกัน ก็ได้ทิ้งดอยสีใบบัวไว้เบื้องหลัง
พร้อมๆ กับยึดโยง แผ่นฟ้าสูงให้ชิดดินต่ำ
ต้นข้าวปลูกใหม่ หลังคาดไถเมื่อหลายวันก่อน
ได้แตกกอ พัดใบอ่อน อ้อนล้อแดดเย็น
น้ำนากระเพื่อมขึ้นลง ๆ เป็นระลอกคลื่น คล้อยทิศตามลมที่แผ่วไล้
เงาแห่งใบยิ้มหวานร่ายรำ สนุกม่วนกับระบำใบแห่งท้องนา
ตามภาษาของผู้อ่อนโยนต่อผัสสะและการเข้าถึง "ทางสายใน"
"นาแจ้งด้วยแสงแต่ง
น้ำเพื่อมด้วยลมไล้
ใบข้าวไหวด้วยลมลูบ
ลมวาน ได้ผ่านไปแล้ว
แดดเช้า ก็สายเกินไปที่จะสัมผัสในยามนี้่
สรรพสิ่งงดงามเยี่ยงนี้ งามเยี่ยงนี้ จริงๆ หนอ........ "  แมลงปอรำพึง


              พิณ คืนเพ็ญ
        ทุ่งนาบ้านสุดห้วยนา



วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อาเซียน : ในมุมของข้าวขอบจาน

            หากจะใช้ตัวชี้วัดของความเป็นนักเขียน ว่าต้องมีความรู้จริงในสิ่งที่จะขีด หลายครั้ง หลายเวลา ผมพบว่า ตนเอง แทบไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้นได้  อย่างเก่ง ก็เป็นได้แค่เพียง นักอยากเขียน ยิ่งหากนับลีลาภาษาที่สื่อสาร บนจานกระดาษแล้ว ยิ่งรู้ดีว่า ฝีมือพ่อครัวอักษราของตนนั้น ช่างห่างไกลจากความโอชาของผู้ชิมชมยิ่งนัก

       อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีคุณสมบัติ ที่จะเป็นพ่อครัวอักษรา เยี่ยงกฎเกณฑ์เช่นนั้นได้ ก็ยังวิสาสะ สร้างห้องครัวเล็กๆ ท่ามกลางภูดอยอันเงียบสงบ แต่กลับรุ่มรวยความสุขและชุ่มเย็นภายใน ขึ้นมาจนได้  ไม่ยิ่งใหญ่ เช่นภัตตาคารดอก แต่ก็แค่อยากบอก อยากเสิร์ฟ มุมคิดเล็กๆ ของคนเล็กๆ คนหนึ่ง ผ่านโต๊ะอาหารตา ไปยังผู้เสพลิ้มดื่มกิน อย่างน้อยให้ผ่านชายตาขอบคิ้วของเขา เพื่อให้รู้ว่า ยังมีมุมคิดเช่นนี้อยู่นะ  มันก็คงเพียงพอแล้ว ดุจเมล็ดข้าวน้อย ที่เหลือติดขอบจาน หลังจากคนรับประทานจนอิ่มหนำ ใช่จะเรียกร้องให้คนกวาดซดทุกเมล็ด ในยามอิ่มแปล้ก็หาไม่ ใช่จะมีเจตนาอุทธรณ์ให้รู้ค่ายิ่งใหญ่ในคุณข้าวอะไรก็มิเชิง แต่ขอเพียงแค่ รู้ว่าเมล็ดข้าวเศษเหลือนั้น เป็นส่วนหนึ่งของความอิ่ม ก็รู้สึกดีและมีคุณค่ามากพอสำหรับการทำหน้าที่ของมันแล้ว ด้วยมุมคิดเช่นนี้ ผมจึงเริ่มปรุงอาหาร

       อีกไม่ถึง 1000 วัน ประเทศเราและเพื่อนบ้านทั้งหลาย  ต่างก็จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หลายชาติตระหนัก หลายชาติตื่นตัว และหลายชาติเตรียมพร้อม เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวดังสโลแกนที่คุ้นชิน สำหรับผม ความเป็นอาเซียน คงมิได้อยู่ที่การประดับประดาธงชาติตามรั้วโรงเรียน หรือการฝึกท่องคำกล่าวทักทาย สวัสดี และขอบคุณของชาติต่างๆ และคงไม่ใช่เพียงการเลื่อนวันปิด เปิดเทอม ให้ตรงกันทุกประเทศ ยิ่งมิได้มีความหมายเพียงเพื่อประโยชน์ที่จะได้รับจากการเกิดประชาคม อย่างที่หลายคนเข้าใจ และคงไม่ใช่ความเข้าใจในมุมคิดที่เปลือยเปลี่ยว ด้านใดด้านหนึ่ง อย่างโดดๆ อย่างที่เป็นมา แต่อย่างใด
     
        ความเป็นอาเซียน มันน่าจะมากกว่า เรื่องค้าเรื่องขาย รายได้ การลงทุน เพราะในความจริง มีพื้นที่ของความงดงาม ทั้งในมิติด้านกว้างใหญ่ไพศาล มิติหลากหลายทางชีวภาพ มิติความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และมิติความรุ่มรวยทางวิถีประเพณีและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ อื่นๆ อีก ที่เชื้อชวนให้พินิจและสนใจตั้งมากมาย

       หลายวันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เยือนมิตรประเทศที่จะเข้าร่วมอาเซียนกับเรา ความเข้าใจและคาดหวังที่จะได้จากอาเซียนนั้น ทั้งจากการสังเกต สดับตรับฟัง และศึกษาเพิ่มเติม ล้วนแทบมิได้แตกต่างจากบ้านเราเท่าใดนัก  มิได้แตกต่างกัน ตรงที่ทุกๆชาติ ต่างแสดงออก บนโหมดความคิดที่จะได้ คิดที่จะรับ ผลประโยชน์ จากกันและกัน ผ่านการค้าการขาย ซึ่งวันนี้ได้ลดข้อจำกัดหรือเงื่อนไขกีดกันบางอย่างลง จนยั่วผู้กระหายให้น้ำลายไหลกว่าก่อนเดิม แต่โหมดความคิด ความเข้าใจ ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ถ้อยทีถ้อยอาศัยเฉกพี่น้องร่วมท้องแม่เดียวกันของชาติพันธุ์ต่างๆ โดยไม่มีเงินตรานำหน้านั้น ยังไม่มี  รวมถึงความเข้าใจในการอยู่และใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันอย่างเป็นมิตรทั้งคนและธรรมชาตินั้น ยังไม่เห็น  นี่ไม่รวมถึงการตระหนัก อนุรักษ์และหวงห่วงวัฒนธรรมอันดีงามของตนอย่างเข้าใจ และไม่ขลาดเขลา นั้น ยังไม่ชัด  ความเป็นอาเซียน น่าจะมีเหตุผลมากมายยิ่งกว่า สามก้อนเส้าของธงที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะการเห็นและเข้าใจในอัตลักษณ์แห่งตนและชนอื่น การเข้าใจและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยไม่เน้นหรือให้ความสำคัญกับด้านหนึ่ง ด้านใดจนเกินไป นั่นน่าจะทำให้ เวทีของอาเซียนมีความหมายและคุณค่ายิ่งกว่าที่รับรู้และเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้

     ครับ ก็อย่างที่บอก ผมแค่อยากเขียน อยากสร้างห้องครัวอักษร
บนฐานคิดที่ แค่อยากเล่า ความคิดของข้าวเศษเหลือจากขอบจาน หลังจากคนรับประทานจนอิ่มหนำ แล้วเท่านั้น มิได้คาดหวังอื่นใด  มากมายนักหรอก แค่อยากบอก อยากสื่อให้รู้ว่า มุมคิดเล็กๆ เช่นนี้ มีอยู่จริง อย่างน้อย เมล็ดเล็กๆ เช่นนี้ อาจเพิ่มสีสัน กระตุ้นคิดในอีกมุม ที่เราไม่มอง หรือเลือกที่จะไม่มอง ให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ แต่ถ้าหากทำให้ความหมาย ความเข้าใจในอาเซียนเปลี่ยนไปเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง ก็นับว่าเป็นโชคลาภอย่างใหญ่หลวง ที่มิได้วาดฝันมาก่อน.....


        พิณ  คืนเพ็ญ
   โรงเรียนบ้านแม่ลิด
      5 กรกฎาคม 2556

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เดินทางภายใน

การเดินทาง
ทำให้คนเราได้เรียนรู้ตนเองและผู้อื่น
จากโลกภายนอกที่พานพบ 
เดิมที อาจดุ่มเดิน คว้าค้น จากภายนอก เพื่อให้เห็น รู้ ตามสภาพจริง เช่นนั้น เช่นนี้ 
แต่แท้ท้ายสุดแล้ว
เราท่านต่างค้นหาคำตอบอะไรบางอย่างจากโลกภายในของตนเอง
ซึ่งเป็นต้นธารของทุกสิ่ง
ฉะนั้นแล้ว การเดินทางได้ไกล
จึงไม่ได้อยู่ที่ระยะทางที่ได้ไป
แต่หากอยู่ที่ระยะทางของโลกภายในที่ได้ถึงต่างหาก...




พิณ คืนเพ็ญ
1 กรกฎาคม 2556

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทาง

สายน้ำ มีทางของน้ำ
หญ้า มีทางของหญ้า
รถยนต์ มีทางของรถรา
ไฟฟ้า ก็มีทางของไฟ
สรรพสิ่ง มีทางของตน
พิจบางครั้ง อาจต่าง
พิจบางคราว อาจคล้ายเหมือน
แท้ต่างมี ต้นสาย ปลายทาง มิต่างกัน
 

พิณ คืนเพ็ญ
       ทาง
บ้านพะมะลอ
14 มิถุนายน 2556

แง่งามยามมอง

แม้เก่าโซโทรมพังเพ
เอียงเซตามปัจจัยเงื่อนไข
ร้างไร้ห่างคนพักใน
ใช่ไร้แง่งามยามมอง

     พิณ คืนเพ็ญ



 

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผลสนทรียา

ยามเช้าเย็นสดชื่น
ฟ้าครึ้มครื้นด้วยมวลเมฆฝน
น้ำไหลจากห้วย ลุ่มดอยเวียนวน
เสียงจ้อก จ้อก อ่อนโยน แผ่วไล้กรวดทราย
ข้าวไร่ ก็แตกกอเขียวแล้ว
กอฟักแก้ว ก็แตกเครือกระจาย
พากันเติบโต งดงามนะมวลหมู่ไม้
ค่อยค่อยผลิผลสนทรียาให้โลกยล....นะ

เช้าสดชื่น
หายใจเต็มปอด
สูดฟอดฟองฝันแห่งธรรมชาติบำรุงใจ

        แม่ลิด
      พิณ คืนเพ็ญ

      10 มิ.ย. 56

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นกนาคอย

นากว้างเงียบเสียง ห่างไกลผู้คน
มีเพียงนกสองสามตัว ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
จับบนคันดิน คล้ายรอคอยอะไรบางอย่าง

ชีวิตทุ่งยามนี้ ช่างอ้างว้างชอบกล
แต่ในอีกไม่กี่บัดดล
แดดจะมา ฝนอาจจะมี นาอึงมี่ด้วยเสียงคน
คนจะเต็มนาร้างๆ นี้แล้ว
คนจะมากันแล้ว
คนจะมาทำนา......
หรือว่า นกรอคอย ........?
                               ................

ทุ่งนาบ้านพะมะลอ
    พิณ คืนเพ็ญ

ละครนก

 
 
ทุ่งนาสงัดเสียง
อ้างว้างห่างไกลบ้านเรือนและผู้คน
มีเพียงนกเหงาๆ หลงทาง สองสามตัว
จับเจ่าละเมอ รำพึงถึงเส้นทางหลุดปีกฝัน
บนแผ่นคากระท่อมนา เหงาเปลี่ยว

ควันไฟเหนือคุ้งน้ำ
ลอยสายพวยคลอดุจฉากหลัง
เพิ่มความชอบธรรมให้ เหงา เศร้า ยัดเยียดบทขมขื่น แก่นกอ้างว้างพวกนั้น ได้อย่างถนัดถนี่และเจ็บปวด

ทุ่งนากว้างใหญ่ยามนี้
จึงถูกท่วงทำนองแห่งความเปลี่ยวเศร้า คลุมห่มบรรเลง.....

"อือ นกน้อยเอย ...เจ้าเล่นบทกินใจข้าแท้"
"นกน้อยเอ๋ย ผืนนาแห่งละครของพวกเจ้า ช่างถางถาก และเพิ่มพื้นที่อ้างว้าง เหงา ในนาแห่งข้า ได้อย่างพิลึกพิลั่น...อย่างน้อย หลังชมละครพวกเจ้าจบ ข้ามีนาเพิ่มอีก หลายสิบไร่..โดยมิรู้ตัว"

โอวววววว.....นกเหงาๆ พวกนั้น....

พิณ คืนเพ็ญ

ต้นข้าวแห่งเธอ


เช้าตื่น ชื่นเช้า  รีบไปทุ่งนา
สาบกลิ่นข้าวกล้า ต้องลมพา มาแต่ไกล
หอมอ่อนอุ่น ละมุนกรุ่นซึ้ง ถึงข้างใน
แลก้านใบ..เอนอ้อน คล้ายรอนคลื่น ระริกพลิ้วเล่นลม
จากกล้าเล็กๆ จนแตกกอเขียว
จากกอเขียว ๆ เติบโต เบ่งใบ
ออกรวงเมล็ดใหญ่ๆ .... เหลืองงาม
จนคนนา มาถึง ดึงโน้มเคียวเกี่ยว
ข้าวรวงเหลืองเขียว ก็กลายเป็นซัง

นาน....แม้นกกระสา ที่เคยเยี่ยมทุ่ง ก็บินหนีจาก
อีฮวกต้นฝน ได้กลายเป็นกบใหญ่
แต่...เธอก็ยังร่ายใบ เอนอ่อนอ้อนเล่นลม
....อยู่เช่นนั้น...มิวาย

บ่เคยเห็น  อาคันตุกะแห่งวายุ หมู่ใด
จะพัดพาถอนโคลนรากใบ จากจุดยืนของเธอได้

ต้นข้าวชีวิตแห่งเธอ ก็เช่นกัน
แม้กาลนับนาน
ก็มิเห็น ลมมรสุมหมู่ใด
จะพัดพา ถอนโคลนรากใบแห่งหัวใจและจิตวิญญาณแห่ง เธอ ได้ เช่นกัน

    ....ฉันจึงศรัทธา....
  ต้นข้าวแห่งท้องทุ่งเหล่านั้น

ทุ่งนาบ้านพะมะลอ
     แม่สะเรียง
    พิณ คืนเพ็ญ
      9 มิถุนา 56

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตาในสวรรค์

ภาพภู สูงซ้อน สลอนสลับ
มองระยับ ระยิบแดด แผดลำแสง
แบบ เวลา มุมกล้อง ที่ส่องแยง

คือคำแพง แห่งคุณค่า ตาในสวรรค์
 

แรงดลใจจาก บทกวีภูสูงแดดสวย ...ของครูศิวกานท์ ปทุมสูติ
ในคราวเยือนแม่สะเรียง แม่ลาน้อย   ภาพนี้ ผมเป็นคนถ่ายเอง
แอบยิ้มภูมิใจเล็กๆ ครับ
    พิณ คืนเพ็ญ
  2 มิถุนายน 56



วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ฟ้าสุข

ฟ้าหม่นคนม่วนก็ชวนสุข
ฟ้าหม่นคนทุกข์สิอุกอั่ง
ฟ้าใสใจเศร้าสิเหงาค้าง
ฟ้าแจ้งใจร้างทุกข์สิสุขยืน....

พิณ คืนเพ็ญ

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิสาขา

..วันวิสาข์ ฟ้าบนดอย ก็พลอยช้ำ
ก้อนเมฆดำ ค่ำฝน มืดหม่นหมอง
ฟ้าร่ายเพลง ฝนแต่งท่วง ห้วงทำนอง
เพลงฉลอง วิสาข์ร้าง ฟ้าจางจันทร์


        เกือบทุ่มกว่า ผมจอดรถเปิดท้าย นั่งร่ายพิณ ด้วยห้วงทำนองเดียวดาย ท่ามกลางความมืดของรัตติกาลแห่งคืนเพ็ญวิสาข์ ข้างกระท่อมกลางนา เรียบคลองชลประทาน บ้านพะมะลอ นับไม่ได้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร รู้แต่ว่า มาคราวใด มักได้ความสุขสงบใจกลับไปทุกคราวครั้ง 

        เสียงพระสวดมนต์ แว่วคละลมฝนมาจากดอยไกล ลอยลัดข้ามคุ้งลำน้ำยวม ผสมลมทุ่งพัดเย็นวูบเป็นระยะ ๆ ทำให้ยินเสียงสวรรค์นั้นอย่างแผ่วเบา คล้ายๆ จะขาดหาย แต่มิวายยลยินทุกสำเนียง ลำไฟจากตัวเมืองแม่สะเรียง แสงสว่างจ้า เห็นลำแสงส่องพุ่งสู่ท้องฟ้าเป็นทางยาว ต้องเมฆดำทมึนบนแนวหน้าผาก บางจังหวะกระทบแสงฟ้าระยิบระยับ ดุจฉากงดงามในม่านฉากละครเวที ก็ไม่ปาน     

 ..... พระจันทร์กลมมนของคืนเพ็ญที่เห็นก่อนหน้า ถูกเมฆาครึ้มฝนต้อนจนลับหาย ทำให้ทุ่งกว้างใหญ่ ถูกแผ่คลุมด้วยเงามืดและความเงียบสงัด นานทีจะมีมอเตอร์ไซค์ ผ่านกลายสักคัน นอกจากพระสวดและนกฮูกกรูกร้องแล้ว แทบมิได้ยิน เสียงใดอีกเลย

      ......โอ ความเปลี่ยว เดียวดาย มันมีความสงบงามเยี่ยงนี้.....เองหนอ 

        ผมบรรจงร่ายนิ้วทีละเส้น ผ่านสายพิณบรรเลงอย่างแผ่วเบา ยามเย็นเยี่ยงนี้  เสียงพิณก้องกังวาน ไกลยิ่งนัก เกือบสองชั่วโมงเห็นจะได้ จิตใจจดจ่อที่สายพิณ ราวกับเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ลายนั้น ....ลายนี้ .....เพลงนั้น .....เพลงนี้ .............มิวางวาย
         
        ผมพบความสงบ เปลี่ยว เดียวดาย แบบแปลกๆ คล้ายๆ กับตนเองหลุดออกจากโลกแม่สะเรียง หลุดจากเมืองที่อึงมี่ ซึ่งผูกร้อยรัดด้วยโซ่ตรวนแห่งพันธนา หลุดมาพเนจรเพียงลำพัง อยู่ท่ามทุ่งไร่ทุ่งนา ท่ามฟ้าฝนและคืนอันเงียบเหงา ผมพบว่า มันเป็นความสุขสงบ อีกแบบหนึ่ง ความสุขสงบที่เสมือนว่า เราเป็นสิ่งเดียวกันกับสรรพสิ่ง ซึ่งไม่สามารถแยกตัวเอง ออกจากฟ้า ฝน นก ลม ทุ่ง นา พิณ ฯลฯ ได้ แยกออกจากกันไม่ได้จริงๆ เพราะเมื่อที่ตัดแยก เมื่อใด มักจะเห็นความหยาบกระด้างในสัมผัสที่จับต้องทุกคราวครั้ง

       เสียงสวรรค์จากพระสวดเงียบเสียงลงไปแล้ว ลมนายังพัดเรื่อยเฉื่อย เย็นวูบลูบกายมิขาดหาย สายพิณต้องฝนเสียงเริ่มแปร่ง ๆ เจ้าของนิ้วที่ดีดสาย ก็เริ่มหอบจับ....
      
 .....อืมมมม ราตรีอันงดงามนี้หนอ ข้าดื่มกินเจ้าไปสองเหยือกกว่าแล้ว ยังหลงใหลมนต์เสน่ห์แห่งเธอมิวายวาง ขอบพระคุณนะ สำหรับฟ้าครึ้มงาม พระจันทร์หลบฝน นกฮูกกรูกร้อง ท้องทุ่งนารัตติกาล ช่างบรรเลงคีตการที่งามงด ควรค่าแก่การจารจดในคืนค้ำแห่งฉันจริงหนอ ท่วงทำนองของเธอ ช่างละเอียดละเมียดละไม เสียจริงหนอเจ้าสายลม อ่อนโยน จนข้ามิอยากจากหนี ....งดงามยิ่งหนอ สรรพสิ่ง งามยิ่งหนอ งดงาม จริงหนอ....

       พิณ คืนเพ็ญ
ทุ่งนาพะมะลอ แม่สะเรียง
     คืนวิสาข์ฟ้าครึ้มฝน
          24 พ.ค. 56

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ต่าง

ต่างคน ต่างว่า ต่างมอง
ต่างคิด ต่างวาด ต่างตั้ง
ต่างเห็น เป้าหวัง ตรงกัน
ตรงแก่น ใจหลัก สำคัญ
ตรงนั้น คือเธอนะ
...เด็กน้อย....

      แม้เส้นทาง ภูมิหลัง ความคิด ความอ่านของคนเรา แต่ละคนจะแตกต่างกัน
แต่แท้จริงแล้ว มนุษย์เรา ล้วนต่างมีเป้าหมายหรือปลายทางไม่ต่างกันนัก
ล้วนรักสุข เกลียดทุกข์ กันเกือบทุกคน อาจแผกไปบ้าง ก็คงที่ระดับกี่มากน้อย
ฉะนั้น แม้จะต่างกันบ้าง ก็คงในรายละเอียด เส้นทาง วิธีปฏิบัติ ไยนำความต่างรายทางปลีกย่อย มาลดทอนการเรียนรู้ คุณค่าที่จะนำสู่เป้าหมายรวมซึ่งต่างเป็นเป้าหมายแท้ได้
....เตือนใจตนเอง

   พิณ คืนเพ็ญ

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เดิน

 
"วิหารทุ่ง"

ที่ที่ฉันและเธอเผลอผ่านเลย
ที่ที่เราต่างเคยปรารถนา
ที่ที่รักจากร้างห่างไกลตา
ใครยังเที่ยวไขว่คว้าหาไม่เจอ
...................................
ยังจำได้ไหม
มหาวิหารแห่งการเรียนรู้ที่แม้ไม่รู้ว่าเรียน
อ่านเขียนบนกระดาษแผ่นดิน
ด้วยน้ำหมึกหยาดเหงื่อ
สุขสงบในร่มเงาแดดฝน
ที่แห่งนั้น,ยังรอใคร
ใครในฉันและเธอ...
 
ครูศิวกานท์ ปทุมสูติ
       ๒๐พค๕๖
                                                      ................................................
 
       ตลอดเวลา สามสิบกว่าปี ผมพบว่าตนเองเดินทางไกล แสนไกล พบพานแทบทุกมิติอารมณ์
 เมื่อวานเดินทาง.... เดินทาง.... วันนี้...ก็ยังเดินทาง เดินทาง   พรุ่งนี้ ก็ต้องเดินทาง และเดินทาง....
 
        แต่หลังจาก ได้เสวนาท่ามทุ่งอันงามงดและเงียบสงบกับครูทางจิตวิญญาณแล้ว พบว่า ตลอดระยะเวลา สามสิบกว่าปี ที่เดินนั้น แท้จริงแล้ว ยังไปได้ไม่ถึงไหน ดุจหน่ออ่อนของไผ่กอ บ้างก็ใบอ่อนที่แตกผลิต้นวสันต์ของไม้แล้ง นับได้ก้าว สองก้าว ดุจก้าวทารกน้อยทางจิตวิญญาณ ที่หัดเดิน กระนั้นเอง
 
        เถียงนา ที่เคยพักค้างอาศัย ในวันวาน วันนี้ มีความรู้สึก สุข แปลกพิลึก สุขเหมือนได้กลับบ้านอันอบอุ่น สุขอิ่มปิติเปรม ถึงภายใน สัมผัส ต้อง ได้ ในละเอียดนุ่มของระลอกลมที่โลมลูบและทายทัก ละเมียดละไม อ่อนโยน เยือกเย็นจับใจยิ่งนัก
        
      โอ... สามสิบกว่าปี ที่คิดว่าเดินทาง แท้จริง เพียงแค่หัดก้าวเท่านั้นจริงๆ หนอ
ขอบพระคุณ คุณครูศิวกานท์ ปทุมสูติ ที่ชี้แนะให้ผมได้ใช้เถียงนา เป็นที่พักค้างอาศัยทางจิตวิญญาณและเป็นจุดกำหนดเริ่มของการเดินอย่างแท้จริง
 
".....จงเดินทางออกไปข้างนอกให้สุดไกล และกลับสู่ภายในให้ล้ำลึก...."
 
     
       ขอบพระคุณ เถียงนา ผู้เปรียบดุจวิหารทางจิตวิญญาณหลังนั้น
                ทุ่งนาพะมะลอ แม่สะเรียง แม่ฮ่องสอน
                             พิณ คืนเพ็ญ
 
 
 
 
 
 

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ท้าทาย

"ผมยิ้มรับคำท้าทาย
มาสุดสายมรรคาของชีวิต
รอดูผลผลิต แล้วเรามาคุยกัน"


       เย็นค่ำหลังจากอบรมฯโครงการอ่านออกเขียนได้ ผมได้พาครูกานท์ เดินทาง เยี่ยมดอยไพร ที่บ้านแม่ลิดป่าเห้ว ที่นั่น มีพี่น้องเราอยู่ เพื่อพูดคุยหลายคน เราถกแถลงกันหลายเรื่อง ตั้งแต่ กะหล่ำ กาแฟ ไก่ หมู ปลา ข้าว บททา โฮมสเตย์  ศูนย์วัฒนธรรม  การศึกษา  ฯลฯ

        สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ หลายคนพยายามประเคนนามต่างๆ ศัพท์ต่างๆ เพื่อให้วงเสวนา ได้รับรู้ จนเห็นและรับรู้ได้จริงๆ ว่า ชื่อหรือนามเหล่านั้น จะปิดกั้น การเข้าถึงความจริง งาม ที่อยู่ในนามนั้น ผมคิดว่า เราควรรับฟังชื่อนามเหล่านั้นและไม่ควรใช้เวลากับมันมากนัก แต่กลับต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อเรียนรู้ เข้าใจ แก่นแกน หรือนัยยะที่อยู่ในนามเหล่านั้น ต่างหาก และหากเข้าถึงแก่นแกนอย่างแม่นตรงแล้ว ค่อยมาคุยกัน หรือเพียงยิ้มแย้ม ก็เกินพอที่จะอธิบายสิ่งที่เข้าใจให้ใครต่อใครได้มากโข ....
       กาแฟ หากเป็นเพียงแค่ชื่อ เข้าใจในนาม ภาพลักษณ์เก่า ผสมกับภูมิรู้เก่า อาจทำให้เราเข้าใจอะไรเก่าๆ ตามไปด้วย โฮมสเตย์เช่นกัน ถ้าหากชุดความคิดความเข้าใจ ในนาม ของมัน มีเพียงแบบเดิม ก็ไม่เห็นว่าโฮมสเตย์จะแตกต่างอย่างไร กับการจ่ายตังค์ เพื่อซื้อที่ซุกหัวนอน ฉะนั้นแล้วการเห็นเพียงนามก็ไม่ต่างอะไรกับเห็นเพียงเปลือกภายนอก..... ที่ไม่สามารถบอกเนื้อในแก่นแกนแท้จริงได้ว่าเป็นเช่นไร เสียเวลากับการพูดเปลือกอยู่ไย ทำไมไม่เทเวลาหาแกนในซึ่งสำคัญมากกว่า
       นี่กระมัง ภูมิรู้อันน้อยนิดของผม กระตุกตัวเองว่า ให้เข้าใจ เรียนรู้ และเห็นความสำคัญในสิ่งนี้ต่างหาก .......
       ขอบคุณ เซอบิ ขอบคุณจอกบุปผา ขอบคุณรัตติกาลอันฉ่ำชุ่มด้วยฝนใหม่ พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สิ่งที่เป็นหัวใจและแก่นแกนอย่างแท้จริง ผมรับคำท้าแล้ว อีกสามฝน เรามาคุยกัน....

"ผมยิ้มรับคำท้าทาย
มาสุดสายมรรคาของชีวิต
รอดูผลผลิต แล้วเรามาคุยกัน"

    
      ค่ำคืนเสวนา บ้านแม่ลิดป่าเห้ว
                 พิณ คืนเพ็ญ
                 17 พ.ค. 56

ลายพิณ

พิณแว่ว แผ่วหวาน บนลานกว้าง
ดอยร้าง ป่ารกรื้อ อื้อเสียงหวน
"ปู่ป๋าหลาน" "ภู่ตอมดอก" ยอกอกครวญ
ลายใด บ่รัญจวน เท่าลายตรมฯ

        พิณ คืนเพ็ญ
ตะวันตรงหัว แม่ลิด 14 พ.ค. 56

ปลายทาง

แท้ปลายทาง อยู่หนใด รู้ไหมเล่า
ยอดโขดเขา ลูกนั้น ฤาลูกไหน
ห้วยละหาน ลานน้ำ ขุนถ้ำไพร
ฤาต้นสาย ปลายหน ต้นเดียวกัน

      พิณ คืนเพ็ญ
อบรมฯ พัฒนาตัวชี้วัด แม่ลิด
    17 พ.ค. 56  13:39

เข้าใจ

เมขลาเหงื่อพรำเป็นห่าฝน
รามสูรโยนขวานแตกไฟสี
ระบำเมฆทะมึนเทาเคล้าราตรี
ปฐพี มีหฤทัย เข้าใจฟ้า
ปฐพี มีหฤทัย เข้าใจ งาม
     พิณ คืนเพ็ญ
แม่ลิด เช้า 16 พ.ค. อบรมการอ่าน

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รางวัลแถน

หอมดิน กลิ่นเช้า เคล้าฝนใหม่
หอมไพร สาบภู ฤดูวสันต์
เอิบอิ่ม แถนฟ้า โรยแจกกำนัล
พรมใจอัน หลงหลับ กลับตื่นฟื้น ฯ


        







             พิณ คืนเพ็ญ
ยามเช้าเปิดเทอมคลอฝนใหม่
     06.45 น. ต้นวสันต์ แม่ลิด

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิถีขบถ

คิดต่าง เดินต่าง บนทางใหม่
มีหัวใจ เป็นทุน หนุนส่ง
มีทิศทาง คงแน่วมั่น ยืนยง
มุ่งปักธง สุนทรีย์ ครูแผ่นดิน

อย่ากลัว ถ้าคิด จะแตกต่าง
อย่าหวั่น อ้างว้าง ห่วงถวิล
อย่าหวาด หากต่ำ ติดดิน
อย่าหลง หากบินสูง สู่ฟ้าได้ฯ

วิถีขบถ ต้องอด รู้ทน
คลุกคลี ทุกข์จน เจ็บไร้
ทันที คิดต่าง ออกไป
กลายไกล จากใกล้ ที่พบพาน...

แรงดลใจ ...
         แนวคิด แนวทาง การขับเคลื่อนรถไฟการศึกษาคันนี้ หลังจากสนทนากับครูศิวกานท์ ปทุมสูติ ผู้ปลุกไฟแห่งวิญญาณ์ ให้พวกเรา ว่าเราจะร่วมกันสานถักการศึกษาให้เด็กน้อย บนดอยไพรแห่งนี้ ได้อ่านออกเขียนเป็น สอนให้พวกเขา เรียนรู้ที่จะอ่านรัก อ่านชีวิต และอ่านโลก  โดยมีปลายทางคือสุนทรียะแห่งชีวิต มีเสรีภาพที่จะใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า งดงาม ท่ามกลางห้วงเวลาระยะหนึ่งของชีวิตพวกเขาจะมีได้ .... ดอกไม้ดอยไพรเหล่านี้ จะเบ่งบานได้ ต้องใช้น้ำ ดิน แดด ปุ๋ย เวลา ต้องมีมานะพยายาม ที่สำคัญ ต้องใช้หัวใจดวงโตๆ เดินต่างเท้า จากทุกๆคนที่เกี่ยวข้อง จึงจะเข้าปักธงชัย ณ ปลายฝันได้ ระหว่างทาง ต้องพร้อมและยอมรับ ความเจ็บ ทุกข์ และความต่าง และอาจมีบ้างต้องล้มลุกคลุกคลาน เปื้อนฝุ่นผงแห่งอุปสรรค แต่อย่างไรก็ตาม นั่นคือบทนำ ก่อนกล่าวเกริ่นสู่ความสำเร็จ .... มักจะมองไม่เห็นใครเลย เกิดมาพร้อมๆ กับความสุขสำเร็จ มักจะมองไม่เห็นใครเลย ที่ได้รับความสำเร็จจากสรวงสวรรค์โดยไม่ได้ลงมือทำ....
        ฉะนั้นแล้ว เราต้องเดิน แม้อาจไม่พร้อม อาจจะยังพร่อง แต่ความพร่องของพวกเรา คือสะพานสู่ความพอกพูน เติมเต็มและงดงามในชีวิต...
        ด้วยแรงใจที่มุ่งมั่น กอปรกับความบอดใบ้ของการศึกษาที่ผ่านมา พวกเราจึงมีทางเลือก ทางเลือกที่จะหลังพิงฝา โซ้ยหมัดปฏิวัติวิถีคิด วิถีปฏิบัติทางการศึกษากันสักตั้ง  มั่นใจนะ มั่นใจว่า ถ้าเหตุปัจจัยเอื้อ พรุ่งนี้เช้า ชัยจะมาเยือน....
        ขอเป็นแรงใจให้พี่น้องผองเพื่อนทุกๆคน ทั้งเพื่อนเลโคะ เพื่อนล่องแพ เพื่อนห้วยห้า และอีกหลายๆที่ หลายๆทาง ที่จะขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน เป็นกำลังใจให้กันและกันครับ
    

       พิณ คืนเพ็ญ
อบรมฯ โครงการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ ปฐมบทการขบถวิถีเดิม
         15 พ.ค. 56



แง่งาม

ฟ้าหมาดฝน...นานแล้ว
ดินเคยชุ่ม กลายผง... ผากแห้ง
บวบค้าง ตากแดด ลมไหว....โยกโยน
ดอยสูง...ขาวโพลนหม่นเทา...หมอกควัน
โอ...ฤดูกาลชีวิต งามแท้หนอ
แง่งาม...ท่ามภูสูง...ยามนี้

     พิณ คืนเพ็ญ

โลกกว้าง













อยากพาเธอ มาเดินเล่น บนดอยบ้าง
เพื่อเปิดทาง โลกใหม่ ให้เจ้าเห็น
ลานดอยกว้าง ต่างแอร์เมือง ที่ฉ่ำเย็น
โลกที่เย็น ด้วยลมลูบ พรมจูบใจ
โลกที่มี มุมใหม่ ที่ใหญ่กว่า
มีหลังคา อิสรา แจ่มดาวใส
มีดวงตา อ่านชีวิต ด้วยตานัยน์
มีนิ้วน้อย ถักทอใย สุนทรียะฯ








คิดถึงลูก อยากให้เธออยู่ใกล้ๆจัง ...อชิรญา
แรงดลใจ จากหนังสือ โต๊ะโตะจัง
          
            พิณ คืนเพ็ญ
 ยามเย็น  แม่ลิด 14 พ.ค. 56

เสียง

ออกเดิน ย่อมมี รอยเท้าใหม่
จารจด ฝากไว้ บนทรายผืน
พักอั้น กั้นหยุด ชั่วคราวคืน
ครืนครืน ตื่นเต้น เส้นเท้าใจ...

พิณ คืนเพ็ญ
   14 พ.ค. 56
     แม่ลิด

วารีคีตการ


วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สร้างบล็อกเพื่อการเรียนรู้

        โรงเรียนบ้านแม่ลิด ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างบล็อกสำหรับคณะครู โดยมีนายประหยัด นิลมล ครู วิทยะฐานะ ครูชำนาญการ โรงเรียนไทยรัฐ 33 เป็นวิทยากร


เนื้อหาประกอบด้วย
1. การสมัครใช้งานบล็อก
2. การเขียนบล็อก
3. การเชื่อมโยงเครือข่ายฯ




 




เว็บไซต์ โรงเรียนบ้านแม่ลิด อบรมครู ให้รู้ สร้างบล็อก
 
พิณ คืนเพ็ญ
  9 พ.ค. 56

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ครู

คูน้ำเก็บน้ำ...เลี้ยงปลา
คูนากั้นนา.... ปลูกข้าว
ครูคนบ่มเพาะ....ตนเรา
ขัดเกลาเขลาขลาด....ให้ปราชญ์คน

                                   

 

 หวนคำนึงถึงทุ่งสักอาศรม
ขณะนั่งรถทัวร์กลับเชียงใหม่
   ยามเช้า 30 เมษายน 56

ค่ายครูรักเขียน









คำครู


    คุณครู ศิวกานท์ ปทุมสูติ
ท่านส่งฟืนให้จุดไฟแห่งปัญญา
    ขอบพระคุณครับครู

       พิณ คืนเพ็ญ
     กลับจากอีสาน
        30 เมษา 56

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

ฝน

จันทร์เพ็ญ แต้มค่ำนวล
ฟ้าหลั่งน้ำตาได้ด้วยหรือ
โอ...ฝนจักจั่น







 












      คืนเพ็ญ
ค่ายครูรักเขียน 2
   ณ ลานเปิดใจ
ทุ่งสักอาศรม สุพรรณบุรี
     24 เม.ย.56




วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

ดีชั่วจน ใช่ทนขอ ง้อใครกิน


"...เหยียบให้จำ ย่ำให้จม ถมให้มิด 
กดให้ติด ชิดดิน  ถิ่นต่ำต้อย
ถีบเซซัง ถางถาก กระชากข้อย
อย่าได้ปล่อย ลอยหน้าได้ ในเมืองคน
คนสักคน เดินได้ ก็ล้มได้
อย่าอวดใหญ่ เมื่อเขาล้ม รีบถมถน
อย่าพรวดพราด ปราดปรี่ ตีตราคน
ดีชั่วจน ใช่ทนขอ พ่อใครกิน....."
            ผมไปติดต่อยืมเงินสวัสดิการจำนวนหนึ่งจาก หน่วยงานต้นสังกัด เพื่อมาสำรองจ่ายค่าประกันชีวิต ตามกรมธรรณ์ของผมและลูกสาว ซึ่งครบกำหนดต้องส่ง ปลายเดือนนี้  มันก็เป็นเงินหลายหมื่นอยู่เหมือนกัน คิดหน้าคิดหลังหลายตลบ ...จึงจบลงด้วยการยืมเงินส่วนนี้ออกมาใช้ก่อน ...ที่เหลือจะใช้จ่ายตามรายทางและความจำเป็นอื่นของชีวิต ....
          แต่มีคนคนหนึ่ง เขาทำให้ผมรักตัวผมมากขึ้น เขาทำให้ผมตระหนักรู้และยืนหยัดในเกียรติภูมิของตัวผมเองมากยิ่งขึ้น แม้คำพูดทีเล่นทีจริงของเขาว่า 
  ".... เงินก้อนนี้ ยืมไปจะคืนได้เหรอ...  พร้อมหัวเราะเสียงดัง ...."
ผมสะอึกอึ้ง กับคำพูดเช่นนั้น ใจดวงน้อยของผม ถูกลุกลานย่ำเหยียบ เลือดแดงซ่านเต็มหน้า อัตตาตัวกูของกูขึ้นเต็มที่ ผมนับหนึ่ง สอง สาม... จนถึงสามสิบ แล้วยิ้มและรีบเดินออกไปจากวังวนคนใจร้ายเช่นนั้น
ผมไม่คิดโต้ตอบหรือ ทำอะไร.... เพราะผมตระหนักรู้ว่า ชีวิตเขา มันย่อมเป็นของเขา เขามีสิทธิ์คิด พูด ทำอะไรก็ได้ดังใจเขา แต่อย่างน้อย สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ควบคู่ตามมาคือ ทุกคนต้องกันพื้นที่ให้กับความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นด้วยเสมอ ....
.....ใช่สิ ! ในยามจนยาก ทรัพย์สินเงินทอง คุณคงมองถึงได้ เพียงแค่ความฝัน  สิ่งสำคัญคือจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสุด .... ที่แม้จะเขินขาดอาภรณ์หุ้มห่อเนื้อหนัง ก็ยังเปล่งประกายงดงามได้.....
......วันนี้การที่ใครสักคน จะหยิบยืมความเป็นส่วนตัวของเขาออกมาใช้นั้น  มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา
...เขาคงคิดพิจารณาดีแล้วหละ อย่างน้อยก็บนพื้นฐานของความจำเป็นและเหมาะสม ฉะนั้นแล้ว แม้แต่คิดทัดทาน ผมก็ยังมองว่ามันมากไป นี่ไม่นับคำถางถาก " จะใช้คืนได้เหรอ.." หรอกนะ มันมากไปจริงๆ มากและสุดวิสัยของคนมีสติปัญญาดีๆ จะคิดได้ และพูดได้  ถ้าหากไม่ พิกลพิการทางจิตวิญญาณอย่างว่า จริงๆ  ไม่มีทางจะพรูพรั่งคำพูดเช่นนี้ได้แน่แท้หรอกกระมัง ....
 .....มนุษย์เราเอ๋ย .....อย่าย่ำหยามหยันกันเลยนะ เวลาของการอยู่ร่วมกันของพวกเราช่างน้อยนิด ไม่เกินร้อยปีก็ตายจาก ...คุณอยากให้การตายจากคือการสาบสูญของทุกสิ่งกระนั้นหรือ ...ผมว่าไม่เป็นธรรมนะ อย่างน้อย สิ่งที่ควรเกิดใหม่เพื่อถ่ายเทจากการล้มหายตายจาก น่าจะเป็นจิตวิญญาณอันงดงามและคุณความดีของมวลมนุษย์ที่ได้ร่วมกันกระทำ ณ ห้วงยามที่ได้อยู่ร่วมโลกเดียวกัน
...... ผมยิ้มหวานพร้อมๆ กับการปฏิเสธ เงินอนาคตของผมก้อนนั้น อย่างน้อย มันก็ไม่ควรได้มา ด้วยการที่ใครสักคนไม่เห็นค่าคนเหมือนกัน.... เพราะเงินเรือนแสนเรือนล้าน ก็ไม่สามารถซื้อขายจิตวิญญาณของความเป็นคนได้จริงๆ
.....จากนี้ไป กองทุนนี้ ผมจะฝาก  ฝากและไม่คิดจะหยิบยืมแม้แต่สตางค์แดงเดียว ...อย่างน้อยก็อยากให้รู้ไว้ว่า อย่าว่าแต่ยืมเลย ฝากโดยไม่ยืมผมก็ทำได้
อย่างน้อย มันก็สอนให้ผมร่ำรวยด้วยเกียรติภูมิและจิตวิญญาณ  หลังเดินออกจากห้องหับคับแคบเยี่ยงนั้น สุขใจ....อย่างประหลาด
       พิณ คืนเพ็ญ
     18 เมษายน 56
 
 

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

บ้าน


ไผ่สับฟาก ถากเป็นแคร่ แปรเป็นบ้าน
แอ้มฝาสาน ขัดลาย ได้กั้นหนาว
มุงหญ้าคา มุงฟ้า กั้นหมู่ดาว
กั้นฟ้าเจ้า ไม่ให้ช้ำ มาต่ำดิน

เพียงไม้หลอม รอมรวมมัด จัดเป็นย่าน
สร้างเป็นบ้าน ตั้งชานเรือน ตั้งรกถิ่น
บนสันภู ยอดไพร ไกลนครินทร์
ได้เป็นถิ่น เกิดพันธ์เผ่า ปกาเกอญอ

อยู่กับป่า กินกับป่า ต้องรักษ์ป่า
คือคาถา ถือครอง ครรลองต่อ
สืบสลัก ถักไศล ไม่ทดท้อ
จากรุ่นพ่อ ต่อรุ่น ดรุณวัย

โลกทัศน์ จัดสำนึก ระลึกรู้
ชีพยังอยู่ เพราะป่ายั้ง ยั่งยืนได้
คนตายจาก หากป่า มลายไป
จึงรู้ใช้ ธรรมชาติ แค่พองาม

บ้านจึงเป็น เช่นบ้าน ย่านแค่นี้
ไม่ได้มี ปราสาท ให้วาดถาม
ไม่ได้โอ้ อวดแต่ง แบ่งกั้นความ
เพียงลมวาม แผ่วไล้ ใจสุขแล้ว



                   พิณ คืนเพ็ญ
พาคณะเยี่ยมนักเรียนทุน บ้านแม่ปุ๋น แม่สะเรียง
                    17 เมษา 56


ขอบพระคุณ รูปภาพประกอบจาก http://www.maelanoi.net/index2.php?do=gallery&album_id=15



วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

ฤดูกาลของชีวิต

เมื่อวาน
บ่ายแก่ แดดร้อน จนปวดหัว
ตกเย็น เย็นดึก จนต้องห่มผ้า

วันนี้
เช้าอ่อน แดดงาม เย็นสบาย
บ่ายแก่ ฝนพรำ ฉ่ำกาย ฉ่ำใจ และหอมดินฝน

ธรรมชาติรอบกาย มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง 
ธรรมชาติของชีวิต มีสุข ทุกข์ คลุกเคล้ากันไป
ธรรมชาติรอบกาย เปลี่ยนไป ตามเงื่อนไขของฤดูกาลฟ้าฝน
ธรรมชาติชีวิต เปลี่ยนไปตามเงื่อนไขของฤดูกาลของชีวิต
ใครจะพ้น ธรรมะ นี้ได้เล่า

พิณ คืนเพ็ญ
    แม่ลิด
สงกรานต์

กบฎ

        2-3 วันมาแล้ว ผมปล่อยสายพานของงานบางอย่างที่ร้อยรัด ให้เอนสายและยานยาว ทอดน่องตามลำธารโค้งคดของชีวิตที่เอื่อยไหล มันก็ไม่ดีสักปานใดดอก ที่โลกทุกวันนี้ คนเราแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดฉี่ ไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดนิ่งหรือฉุกคิด เพราะทุกทิศถูกเคี่ยวเข็ญเข้าสู่ลู่ลานของการแข่งขันมาโดยตลอด ทุกคนวิ่งด้วยอัตราแรงเร็ว เป็นที่สุด ดังนั้น หากใครสักคน เฉื่อยชาต่อสภาพความเป็นไปดังกล่าว จึงนับเป็นกบฎแห่งยุคสมัยไม่น้อยทีเดียว

        อย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว จะเข้าข่ายเป็นกบฎของยุคหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ แต่การได้ถอดหมวกบางใบบนหัวออก มันช่างทำให้ก้อนความรู้สึกกดทับบางอย่าง บางเบาลงได้ นี่ยังไม่นับการหลุดลุ่ยออกจากวังวนความคิด ที่หมุนวนในนาวาของชีวิต ทีละน้อยๆ ที่ถูกกัดเซาะด้วยกระแสธารแห่งเวลา แล้วทำให้ตะกอนอารมณ์บางอย่าง หลุดลอยหายไปไกลลับตา

           ระหว่างทางของวันเหนื่อย ผมมีโอกาสได้พบเพื่อนเก่าสองคนพร้อมๆ กัน นอกจากพูดคุยสารทุกข์สุขโศกของใครมันแล้ว เราก็มาย้อนเข็มนาฬิกากันอีกครั้ง ด้วยเหล้าเก่าติดรถค่อนขวด..ว่าไปแล้ว ผมเว้นระยะกับเหล้ายามาบ้างพอควร  เนื่องจากพักหลัง สุขภาพไม่ค่อยจะอำนวย ดื่มมากเหมือนก่อนไม่ได้ ยกเว้นแต่มีบรรยากาศ หรือได้พื้นที่เล็กๆ สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ทางจิตวิญญาณให้ตนเอง ผมจะเต็มที่กับมันทุกครั้ง ชาร์จจนหลับก็มีเหมือนกัน  เรานั่งซุ้มอาหารติดริมน้ำ อากาศร้อนๆ อย่างนี้ ที่นี่นับเป็นคำตอบที่คู่ควรกับคำถามของใครหลายๆ คน

           เพื่อนคนนึง ถามถึงเรื่องงาน อีกคนก็โยงถึงเรื่องครอบครัว ....ผมยิ้มแห้งๆ แทนคำตอบ ทำให้เพื่อนไม่ซักไซ้ไล่เรียงเท่าใดนัก ไม่ได้รู้สึกอายที่จะปลอกเปลือกความเป็นไปของชีวิตให้ใครต่อใครได้รับฟัง ยิ่งเป็นเพื่อนที่สนิทชิดเคยกันแล้ว มักจะระบายทุกคราวครั้ง ถ้าเขาอยากรู้ แต่สำหรับครั้งนี้ รู้สึกเหนื่อย และล้าเต็มที ที่จะตอบตัวเอง ว่าทำไมยังต้องให้คนอื่นได้ถามอยู่เช่นนี้ ....ผมเข้าใจความรัก ความปรารถนาดีของเพื่อนๆ แต่มันก็จุกลิ้นปี่ ทุกทีที่ได้ยินคำถาม.... แม้ขนาดตัวเราเองยังหนักอึ้ง ใยต้องให้คนอื่นแบกหนักกับเราไปด้วยหละ... เอาล่ะ เอาเป็นว่า ผมสบายดี มีความสุขดี ก็คงน่าจะพอ ....ผมสุ่มสี่สุ่มห้าตอบคำถามไปอย่างนั้น..... มันแผ่วเบาอยู่ในภวังค์ คงมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน และมีเพียงตนเองเท่านั้น ที่รับรู้ว่าความจริงแล้ว เป็นเช่นไร....

           ฟ้าค่ำนานจวนย่ำเย็น เล่นเอาพวกเซไปเพราะฤทธิ์เมรัย แต่ก็ถือว่าพองาม หลังจากย้ายที่มึนเมาหลายรอบ ก็ถึงเวลา  .....ทุกคนจึงได้ล่ำลาและแยกย้ายกันกลับ นานมากแล้ว แม้แสงไฟท้ายรถก็ลับตา แต่ผมพบว่า ตัวเองยังยืนเปลี่ยวปะปนกับความมืดของราตรีที่หม่นหมอง
..........อืมมม ค่ำคืนอันเนิ่นช้า เส้นทางอันยาวไกล นอกจากความเงียบและเหงาแล้ว ผมแทบมองไม่เห็นอะไรอีกเลย.....   ผมซุกตัวอยู่ในความมืดด้วยความอิดโรย ขณะที่จิตวิญญาณของกบฎก็ซุกอยู่ในใจอันอ่อนล้า 

     ".... กลับบ้านเถอะ กลับบ้านนนน...."
    เสียงเพรียกจากรัตติกาลอันหมองหม่น ทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์  แทบไม่น่าเชื่อว่า ความเดียวดายมันโหดร้ายและเที่ยวหลอนหลอก ได้ถึงปานนี้ แม้แต่ในฝันก็ยังไม่ปราณี อย่างน้อย วันนี้ก็ไม่ใช่หนแรกที่พบพาน....

          ผมจอดรถข้างเงาป่า ใกล้ริมน้ำ ติดร้านที่เคยดื่มกินตอนหัวค่ำ เอนหลังพร้อมๆ ปรับเบาะลงราบแทบขนานพื้น มือหมุนลดระดับกระจกรถ พอให้อากาศถ่ายเทได้ จากนั้นก็เปิดเพลงฮำคลอเบาๆ    ยุงสี่ห้าตัว บินว่อน ร้อง วีๆๆ ระงมหู ชวนรำคาญยิ่งนัก แต่ก็ยังดี เพราะอย่างน้อยยังมีเพื่อนบรรเลงกล่อมเพลงฝัน..
...... ในห้วงยามอัตคัดของไมตรีแล้ว คนเราก็ควรมองให้เห็นสิ่งดีๆ จากอมิตรให้ได้ แม้ยากที่จะฝึก แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ที่จะต้องเข้าใจ...เพราะนี่เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ของคืนค่ำอันเดียวดาย

          เมื่อหัวแตะเบาะ ผมก็เผลอหลับไป ช่างเป็นการหลับใหล ที่ปิดกั้นการเข้าถึงของความเหงาได้ถนัดถนี่ยิ่งนัก แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม ผมต้องตวงตัก ....ใช่จะเิกิดได้ทุกทีเสมอไป อย่างน้อย วันนี้ ก็นับเป็นหนแรกที่ได้พบพาน....และก็ยังไม่รู้อีกนานสักเท่าใด จึงจะได้พบเจอ....

 ....ช่างมันเถอะ ...ยุงกัดก็แค่ลายแข้ง บ้างก็เกิดผดที่แขนขา ใช่ผุดผื่นขึ้นในหัวใจก็หาไม่ ผมสบถดังๆ กับตนเอง

....มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เราต้องกล้าที่จะหลับให้ได้ กล้าที่จะฝันให้ได้ ขอเพียงพื้นที่เล็กๆของฝัน รังสรรค์ความวิเวกภายในก็เป็นพอ ...ผมสำทับความมั่นใจให้กับตนอีกครั้ง

โอวว์... ในโลกอัตคัดความสงบนั้น คนเราช่างกล้าที่จะบนบาน.... แม้กระทั่งกับความฝัน ยังหาญหวังอ้อนง้อ...
อืมมม....เพียงเพื่อให้ได้ผ่อนพักและพบเจอสิ่งที่ต้องการ แม้รู้ทั้งรู้ว่า ความจริงเป็นเช่นไร รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่หวัง เดินหันหลังออกไปจากความจริง ก็ตามที .....

.....ใช่สิ.....ถึงแม้ความฝันจะหลอนหลอกหลายรอบ แต่ก็ยังปราณี อย่างน้อย ก็ยังมีพื้นที่เล็กๆให้พบพาความสงบสุขอยู่บ้าง

.....ในพื้นที่เล็กๆ อันน้อยนิดของความฝันนี้ มิใช่หรือ ที่กันพื้นที่ ให้ได้สัมผัส ความจริงอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า สงบสุขได้

ผมข่มตาหลับอีกครั้ง เพราะรู้ความจริงว่า ทางเดินของคนคนหนึ่งนั้น มีไม่มากนัก....อย่าว่าแต่โลกของความจริงเลย แม้แต่ในฝันภวังค์ ห้วงยามนี้ ความสุขยังถูกไล่ต้อน....
"ไปตามหาความสุขในความฝัน  ไปหาสุขในฝัน ไปหาสุขในฝัน ...."

อืมม... ราตรีนี้ น่าจะมีกบฎเพิ่มขึ้นอีกสักคนแล้วหละ ผมสบถกับตนเอง ก่อนจะหาญข่มตาหลับฝันอีกคำรบสอง....

           พิณ คืนเพ็ญ
       ฝนสาดปีใหม่ไทย
     โรงเรียนบ้านแม่ลิด
              15/4/56



วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

เลี้ยงรุ่น ครุ่นคิด ถึงทิศตน

 "ห้วยคะคาง คดโค้ง ยังคงไหล
ดอกพะยอม บานไสว กลิ่นหอมหวาน"
มาเถิดหนา ขวัญเจ้า คืนเรือนชาน
คืนสู่บ้าน กลับสู่เหย้า เราเคยอิง...

แก่งเลิงจาน  ตะวันแลง  แหล่งผ่อนพัก
บึงน้ำหลัก หนุ่มสาว เจ้าหนุงหนิง
ปลาหมอใหญ่ ว่ายต้องบัว เห็นตัวติง
งามเสียจริง หนองเป็ดน้ำ ยามย่้ำเย็น

เสียงเพลงแคน แล่นตรอย ลอยลัดหล้า
คิดฮอดสาว หอดอกฟ้า คราได้เห็น
ศิริพรรณ หอป่าแก หอยายเพ็ญ
หอหนมเส้น หอ ว.พ. หอบ้านโนนฯ

ซุ้มสบาย หน้าป้าย วีเจมาร์ท
ราชภัฎ หน้าตลาด งามหน้าสน
หอบ้านนอก หอไฮโซ หอคนจน
หอของคน ไร้หอห้อง ของหัวใจ

ปีสามเก้า เข้าเรียน เพียรจนจบ
ได้พานพบ ประสบการณ์ อันหลากหลาย
มีเพื่อนพ้อง ร่วมทาง ตั้งมากมาย
ทั้งหญิงชาย  เผ่าผู้ไท ลูกภูลาว

ลานกลางแจ้ง ดุจลานแต่ง แห่งชีวิต
ลานนิสิต ลูกชาวนา ได้สร้างสรรค์
ผ่านลีลา ดนตรี คีตวรรณ
พระพิรุณ นามท่าน คือพ่อเรา

คิดถึงต้น ฉำฉา มะขามใหญ่
พะยอมไพร บานใบ บังแดดเหงา
ดอกจานเบ่ง บานดอก แสดงามเงา
 ภาพวันเก่า ย้อนหยอก ตอกย้ำใจ

เพื่อนทางไกล ชวนคืน วันคืนเก่า
ทบทวนเท้า ที่ย่างกาย สู่หนไหน
เดินไปหน้า ย่ำกับที่ หรือหนีไกล
ลำบากไหม เจ้าพานพบ ประสบมา

จึ่งจัดงาน สังสรรค์ ฉันพ้องเพื่อน
เพื่อย้ำเตือน วันเก่า มิเปล่าค่า
เพื่อชวนคิด ทิศทาง พัฒนา
ให้รู้ค่า เวลางาม ชีวิตคน

ห้วยคะคาง คดโค้ง ยังคงไหล
ดอกพะยอม บานไสว ริมถนน
ดอกชีวิต เราบานค่า ไม่ละตน
บานจนกว่า ชีพชน จะวายวาง

มอบบทกวีนี้แด่เพื่อนพ้อง ฟิสิกส์ 39 ทุกคน
            ปีหน้าคงมีโอกาสได้ร่วมงาน
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันงามของพวกเรานะครับ

                พิณ คืนเพ็ญ
      คนสันภู ดอยแม่ลิด แม่สะเรียง

             11 เมษายน 56